ประวัติศาสตร์เรือรูปหัวสัตว์สามารถย้อนกลับไปได้ถึงรูปสลักที่ปราสาทบายนในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด แต่ในสมัยอยุธยานั้นมีบันทึกไว้ว่า พ.ศ. ๒๐๙๕ ครั้งนั้นให้แปลงเรือแซเป็นเรือชัยและหัวสัตว์ ซึ่งตรงกับสมัยสมด็จพระมหาจักรพรรดิ ต่อมามีบันทึกเป็นรูปภาพเมื่อเดอ ลาลูแบร์ได้เดินทางเข้าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเรือเหล่านี้ได้สูญสิ้นไปกับเปลวเพลิงในอู่เรือหลวงที่คากว่าน่าจะอยู่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวัง หรือประเมาณวัดหน้าพระเมรุ
เมื่อถึงวสมัยรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่หนึ่งจึงจำเป็นต้องต่อเรือจำนวนมากเพื่อใช้ในพระราชพิธีเสด็จทางชลมารค และมีบันทึกต่อมาว่ามีการสร้างเรือพระราชพิธีเพิ่มขึ้นเป็นระยะในแต่ละรัชกาลจนกระทั่งสิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรือพระราชพิธีในอู่เรือหลวงน่าจะชำรุดทรุดโทรมลงเพราะไม่ได้ถูกใช้งานและถูกทำลายไปจำนวนมากเมื่อสัมพันธมิตรเข้ามาทิ้งระเบิดบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอู่เรือหลวงนั่นเอง ประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคโดยกระบวนเรือพระราชพิธีได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นเป็นครั้งแรกในคราวฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. 2500 และมีเรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งที่สร้างในรัชกาลนี้
พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธีค่อนข้างเดินทางไปยาก ต้องลงรถที่สะพานอรุณอัมรินทร์และลัดเลาะซอกซอยไปตามละแวกย่านแถวนั้น แต่ก็มีป้ายบอกเส้นทางโดยตลอด แถมด้วยเป็นเส้นทางปั่นจักรยานที่ชาวต่างชาตินิยม ดังนั้นอย่าแปลกใจที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีคนต่างชาติที่เดินทางมาจากทั่วโ,กเพื่อมาชื่นชมความงามในศิลปะแห่งชาติไทย แต่คนไทยเข้าชมถ้าไม่มีการขอถ่ายภาพด้วยกล้อง ที่นี่เก็บรักษาเรือพระที่นั่งสำคัญไว้ 8 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุวรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรืออสูรวายุภักษ์ เรือกระบีปราบเมืองมาร เรือครุฑเหินเห็จ และเรือเอกชัยเหินหาว
รีวิว (62)
รูปถ่าย (283)
เช็คอิน (0)
รายการโปรด (2)
ชื่นชอบ (3,448)
ร้านอาหาร (0)
ที่พัก (0)
แหล่งเรียนรู้ (0)
กระทู้ (0)
ตอบกระทู้ (0)
เรื่องเล่า (0)
ตอบเรื่องเล่า (0)
กิจกรรมพิเศษ (0)
ไฮไลท์ทริป (0)