สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน
การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%
จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น
ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน
เวียงท่ากาน
แหล่งโบราณคดีเวียงท่ากาน ตั้งอยู่ที่บ้านท่ากาน ตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
ทิศเหนือ ติดกับบ้านพระเจ้าทองทิพย์
ทิศใต้ ติดกับบ้านสันกะวาน
ทิศตะวันออก ติดกับบ้านหนองข่อย
ทิศตะวันตก ติดกับบ้าต้นกอก และบ้านต้นแหนหลวง
ลักษณะทั่วไป
เวียงท่ากาน มีลักษณะเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๔๖๐ x ๗๔๐ เมตร ความกว้างของคูน้ำประมาณ ๘ เมตร สภาพคูน้ำคันดินล้อมรอบเป็นเขตเมืองนั้นยังมีสภาพตื้นเขิน เหลือสภาพแนวคูน้ำคันดินให้เห็น ๓ ด้าน บริเวณรอบเมืองโบราณมีสภาพเป็นเนินสูงกว่าที่นาโดยรอบ
หลักฐานที่พบ
๑. เจดีย์ทรงมณฑป ฐานสี่เหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบหก ก่ออิฐก่อดินฉาบปูน กว้างประมาณ ๓.๕ เมตร ส่วนยอดเจดีย์พัง ความสูงของเจดีย์ที่เหลือประมาณ ๓ เมตร ตัวเจดีย์ถูกลักลอบขุดเป็นโพรง
๒. เป็นโบราณสถาน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเจดีย์ห่างประมาณ ๒๐ เมตร ขนาดประมาณ๖.๘ x ๘ เมตร พื้นที่เนินปกคลุมด้วยต้นไม้และวัชพืช พบแนวอิฐส่วนฐานวางตัวตามทิศตะวันออก - ตะวันตก ยาวประมาณ ๔ เมตร สูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร
๓. ศิลปวัตถุที่พบตามบริเวณเจดีย์ ส่วนใหญ่เป็นพระพิมพ์ดินเผา ที่เรียกชื่อว่า พระแผง(หรือกำแพงห้าร้อย) พระสาม พระสิบสอง พระบัวเข็ม พระคง พระเลี่ยงหลวง พระสามใบโพธิ์ พระร่มโพธิ์ ซึ่งเป็นวัตถุที่มีรูปลักษณะศิลปกรรมของสมัยหริภุญไชย นอกจากนี้ก็พบมูยาสูบ(กล้องยาสูบ) ตุ้มตาชั่งสัมฤทธิ์ ตุ้มแห ชามเวียงกาหลง คอสิงห์ดินเผา ศิลปวัตถุที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ โถลายครามจีนสมัยปลายราชวงศ์หยวน ขนาดสูงประมาณ ๓๘ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางตรงกลางโถประมาณ ๓๒ เซนติเมตร เส้นรอบวงประมาณ ๑๐๖เซนติเมตร มีหูเล็ก ๆ เป็นรูปมังกร
การเดินทางจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เส้นทางสายเชียงใหม่-ฮอด เป็นระยะทางประมาณ 34 ก.ม. จนถึงทางแยกเข้าบ้านท่ากานบริเวณปากท่างบ้านทุ้งเสี้ยว เป็นระยะทางเข้าไปประมาณ 2 ก.ม. โดยผ่านพื้นที่บ้านต้นกอกสภา เมืองเก่าเวียงท่ากานมีลักษณะเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว และมีกำแพงดินหรือคันดินล้อมรอบ 2 ชั้นปัจจุบันเหลือแนวคูน้ำ คันดินให้เห็น 3 ด้านยกเว้นด้านทิศใต้ ตัวเมืองโบราณมีสภาพเป็นเนินสูงพื้นโดยราบเป็นที่ราบลุ่มห่างจากลำน้ำปิงประมาณ 3 ก.ม. ทางทิศตะวันออกมีลำน้ำแม่ขานไหลผ่านห่างจากตัวเมือง เวียงท่ากานประมาณ 2 ก.ม. นอกจากนี้ยังมีลำเหมือง(ลำห้วย) สายเล็กๆ ชักน้ำจากน้ำแม่ขานมายังคูเมืองทางทิศใต้และยังมีลำเหมืองขนาดเล็ก ชักน้ำเข้ามาใช้ภายในเมืองทางทิศตะวันออก ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นระบบ ชลประทาน ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณ
สภาพภายใต้ในตัวเมืองเดิมเป็นป่าทึบต่อมามีการโค่นต้นไม้ใหญ่หักล้างพื้นถางโพรงเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยพื้นที่บริเวณชายเนินที่เป็นที่นาทั้งหมด ปัจจุบันบ้านเรือนราษฎรส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในตัวเมืองชาวบ้านท่ากานส่วนใหญ่เป็นพวกชาวยองที่อพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิละปกครองเมือง เชียงใหม่คนส่วนใหญ่พูดภาษายอง
คำว่า “ท่ากาน” ชาวบ้านเล่าว่ามาจากคำว่า “ต๊ะก๋า” ในตำนานเล่าว่า เมื่อก่อน นี้มีกาเผือกตัวใหญ่จะบินลงที่นี้ชาวบ้านกลัวว่าเมื่อบินลงมาจะทำ ให้เกิดความเดือดร้อน ในหมู่บ้านจึงพากันไล่กาหรือต๊ะก๋าไม่ให้มาลงก็เลยเรียกต่อกันมาว่า บ้านต๊ะก๋า ต่อมาเมือประมาณพ.ศ.2450 จ้าอาวาสวัด ท่ากานได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านท่ากาน เนื่องจากคำว่า บ้านต๊ะก๋า ไม่เป็น ภาษาเขียน
จากหลักฐานทางด้านเอกสารและตำนานหลายฉบับ เช่นตำนานมูลศาสนา พงศาวดารโยนกและตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวโดยรวมไว้ว่า เมืองท่ากาน เป็นเมืองที่มีประวัติเกี่ยวกับนิยายปรัมปราทางพุทธศาสนากล่าวถึงพระพุทธเจ้า ว่าเคยเสด็จมาที่เมืองนี้ เมื่อมาถึงยุคล้านนา และจากการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดี ได้พบโบราณวัตถุศิลปกรรมแบบหริภุญไชยจำนวนมาก เช่น พระพิมพ์ดินเผาแบบต่าง ๆ พระพุทธรูปดินเผา เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าชุมชนแห่งนี้นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ส่วนโบราณสถานที่พบ ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่กำหนดอายุสมัยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-22 แสดงถึงการอยู่อาศัยสืบเนื่องกันมาโดยตลอด แม้ในสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ภายหลังที่เชียงใหม่พ่ายแพ้แก่พระเจ้าบุเรงนอง ในปี พ.ศ. 2101
เวียงท่ากาน ปรากฏชื่อใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า “เวียงพันนาทะการ” อาจจะเป็นเมืองที่มีความสำคัญเมืองหนึ่ง เนื่องจากพญามังราย (พ.ศ. 1804-1854)โปรดให้นำต้นโพธิ์ที่นำมาจากลังกาทวีปหนึ่งต้นจากจำนวนสี่ต้น มาปลูกที่เมืองเวียงพันนาทะการ เวียงท่ากานเป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครองภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารเพราะเป็น ถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ชื่อของเวียงท่ากานปรากฏในเอกสารโบราณเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าติโลกนาถกล่าวว่าพระองค์ได้เสด็จยกทัพ ไปตีเมืองเงี้ยวและได้นำเชลยเงี้ยวไปอยู่ที่เวียงท่าการ หมายถึงว่าในช่วงนี้เวียงพันนาทะการมีฐานเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ เพราะคำว่าพันนาในภาษาไทยเหนือหมายถึงตำบล
หลังจากพม่าเข้าตีเมืองเชียงใหม่ได้ในสมัยพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนอง เวียงท่ากานจึงตกอยู่ในอำนาจของพม่าเช่นกันต่อมาเมืองเชียงใหม่ถูกทิ้งร้างไปประมาณ 20 ปีเศษ คือในช่วงระหว่าง (พ.ศ.2318-2339) เวียงท่ากานก็คงจะร้างไปด้วย จนถึงช่วงปี พ.ศ.2339 พระเจ้ากาวิละทรงตี เมืองเชียงใหม่คืนจากพม่าได้จึงกวาดต้อนพวกไทยยองเข้ามาอยู่ตราบจนทุกวันนี้ ประชากรบ้านท่ากาน ส่วนใหญ่เชื้อสายไทลื้อ ที่เรียกตัวเองว่า “ชาวยอง” เนื่องจากอพยพมาจากเมืองยองในพม่า เข้ามาอาศัยในบริเวณเวียงท่ากาน เป็นระยะเวลากว่า 200 ปี เป็นชุมชนที่รักท้องถิ่น รักษาวัฒนธรรมประเพณีอย่างเคร่งครัด เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งที่อยู่อาศัยและของดีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมซึ่งมีอยู่ในพื้นที่ จึงรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม จนได้รับโล่พระราชทานจากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้สนับสนุนการอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2531 เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย
โบราณสถานภายในเวียงท่ากานที่สำคัญ
1. วัดกลางเมือง 7. วัดหนองหล่ม
2. วัดอุโบสถ 8. วัดน้อย
3. วัดต้นโพธิ์ 9. วัดป่าเป้า
4. วัดหัวข่วง 10. วัดป่าไผ่รวก
5. วัดพระเจ้าก่ำ 11. กู่ไม้แดง
6. วัดต้นกอก