สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน
การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%
จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น
ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน
ดินแดนธรรมชาติอันแสนสุขของประเทศไทย...แหล่งรวมความงามรูปธรรมและนามธรรมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมตลอดจนเส้นทางประวัติศาสตร์ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า"เมืองกาญจน์" หรือ กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่สวยงามอันเป็นมรดกแห่งตะวันตกของไทยเลยทีเดียว
หากได้มีการเดินทางไปในที่ต่างๆของจังหวัดกาญจนบุรีอย่างพวกเรา ออย และ มุก การเดินทางครั้งนี้เราไปกันสองคนค่ะ ขอเริ่มเดินทางศึกษาประวัติศาสตร์ในตัวเมืองกาญจน์ก่อนเลยดีกว่า ที่แรกที่เราเดินทางไปคือ หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สอง พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควติดสะพานข้ามแม่น้ำแควซึ่งเป็นไฮไลท์หลักของเมืองกาญจน์เลยค่ะ
พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควเพียงแค่ 50 เมตรเองค่ะ ภายในได้มีการแบ่งการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ทั้ง ปืน ดาบ มีด ระเบิด รวมถึงภาพถ่ายขาว-ดำ โลงศพของเหล่าเชลยและทหาร บรรยากาศค่อนข้างหดหู่ "สงคราม...ไม่ให้คุณแก่ใครจริงๆ" รูปแบบการจัดแสดงจะแบ่งเป็นโซนๆตามตึกหรืออาคารรูปทรงต่างๆ อย่างพระพุทธรูป ก็จัดแสดงที่ตึกคล้ายอุโบสถวัดไทย มีสถูปบรรจุอัฐิของพระบนยอดตึก มีฉัตรตกแต่งอย่างสวยงาม ส่วนในโซนการจัดแสดงประวัติศาสตร์จะอยู่ในอาคารรูปแบบตึกร่วมสมัยปกติค่ะ
หลังจากเรามาศึกษาประวัติศาสตร์ในตัวเมืองแล้ว คราวนี้เราจะออกเดินทางไปนอกเมืองกันค่ะ เราเริ่มกันที่อำเภอท่าม่วง ความงามทางวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนาแห่งแรกของการเดินทางครั้งนี้กันค่ะ
จุดความงามสำคัญของท่าม่วง คือ วัดถ้ำเสือ ค่ะ วัดที่มีจุดเด่นอยู่ที่พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท องค์พระเจดีย์เป็นสีอิฐทั้งองค์ แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ หลายชั้น แต่ละชั้นจะประดิษฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ มากมาย ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย วิวทิวทัศน์รอบด้านของวัดประกอบไปด้วยทุ่งนา ต้นไม้น้อยใหญ่ แลดูให้ร่มเย็นสบายตาดีค่ะ
ออกจากอำเภอท่าม่วง เราเดินทางไปต่อที่เขตอำเภอศรีสวัสดิ์ แลนมาร์คสำคัญที่ต้องไปชมให้ได้คือผืนน้ำสีฟ้าใสในน้ำตกเอราวัณ
น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกขนาด 7 ชั้นค่ะ ระหว่างทางที่พวกเรากำลังแบกเป้เดินขึ้นไปน้ำตกแต่ละชั้น เราจะพบสองข้างทางจะเป็นธารน้ำเล็กไหลลงมา มีปลาน้อยใหญ่เต็มไปหมดเลยค่ะ สีน้ำของที่นี่สีคล้ายน้ำทะเลราวกับว่าเป็นน้ำทะเลอันดามันเลยทีเดียว แต่บางจุดของน้ำตกก็จะมีความลึกแตกต่างกันออกไปนะคะ บางแห่งลึกจนหน้าฝน เจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดบางชั้นเลยทีเดียวค่ะ
ออกจากอำเภอศรีสวัสดิ์ เราตั้งใจมุ่งหน้าไปทางชายแดนอำเภอด่านเจดีย์สามองค์ ชายแดนไทยพม่า แต่ระหว่างทาง เราได้แวะเที่ยวอำเภอทองผาภูมิกันก่อน เราค้างที่หมู่บ้านแห่งสายหมอกเล็กๆที่ชื่อว่า บ้านอีต่อง ด้วยความที่เราเดินทางโดยรถโดยสารมาตลอดเส้นทาง เรามาถึงโฮมสเตย์บ้านทานตะวันที่ตั้งอยู่ริมสระน้ำกลางหมู่บ้าน เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่เที่ยวไปที่ต่างๆใกล้เคียงบริเวณนี้ค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่า บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านที่เล็กๆท่ามกลางหุบเขาที่เมื่อก่อนเคยเป็นเหมืองแร่เก่า อยู่ห่างจากทะเลอันดามันไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ไอจากทะเลจึงทำให้เกิดหมอกปกคลุมพื้นที่นี้ตลอดเวลาค่ะ พอเดินเข้ามาทางสะพานหน้าหมู่บ้าน ตรงราวสะพานจะเห็นแผ่นไม้เขียนคำอธิษฐานมากมายผูกกับราวสะพานเต็มไปหมดเลยค่ะ ได้อารมณ์เหมือนการคล้องกุญแจของเกาหลียังไงยังงั้น
เก็บกระเป๋าเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ความหรรษาก็เกิดขึ้นขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวน้ำตกจ๊อกกะดิ่น น้ำตกเล็กๆที่อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ทางลงน้ำตกค่อนข้างวิบากพอสมควรเลยค่ะ ทั้งขึ้นเนินลงเนิน ทางชันกันมาก แต่สุดท้ายเราก็มาถึงน้ำตกจนได้ ยอมรับว่าเราใช้เวลานานมาก กว่าจะมาถึงน้ำตกทั้งที่ระยะทางจากหมู่บ้านมาน้ำตกเพียง 9 กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยสภาพทางที่ค่อนข้างลำบาก ทำให้เรารู้สึกว่าขี่รถกันมานานมาก ครั้นได้มาเห็นผืนน้ำของน้ำตกนี้ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ เราสองคนรีบวิ่งกระโจนลงน้ำกันเลย ดูสิคะ...
ทันทีที่ฟ้าสว่างในวันรุ่งขึ้น เข้าสู่อีกวันของการเดินทาง เราสองคนต้องรีบตื่นแต่เช้า เก็บกระเป๋า เพื่อรีบไปขึ้นรถสองแถวสีเหลืองกลางหมู่บ้าน เพื่อที่จะออกไปต่อรถ สู่อำเภอสังขละบุรีกันต่อค่ะ
ไม่นาน เราก็มาถึงอำเภอสังขละบุรีจนได้ กว่าเราจะมาถึงโฮมสเตย์บ้านสบาย ที่สังขละบุรี ก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว การมาพักที่นี่ ทำให้เราได้รู้จักกับพี่น้อง พี่เจ้าของโฮมสเตย์บ้านสบายที่ชื่อ "น้อง" นะคะ วันที่เราเดินทางกัน เป็นวันธรรมดา ทำให้ไม่มีแขกคนอื่นๆมาพัก พี่น้องเป็นคนกรุงเทพค่ะ แต่มาเปิดธุรกิจโฮมสเตย์ที่สังขละบุรี มีเจ้ามอม สุนัขเฝ้าบ้านตัวโปรดอยู่ในบ้านด้วย
พี่น้อง เห็นเรามากันสองคน พอดีออยกับพี่น้องค่อนข้างจะคุยกันถูกคอ พี่ใจดีมากค่ะ ดูแลมุกกับออยอย่างญาติ ไม่ใช่นักท่องเที่ยว น้ำสตอเบอรี่กับข้าวผัดกะเพรา พี่น้องก็ทำให้กินฟรี เพราะเห็นว่าเรามาถึงกันก็ดึกแล้ว หาที่ทานข้าวยาก พวกเราจึงได้ชิมฝีมือพี่เจ้าของโฮมสเตย์ท่านนี้เลยค่ะ
แต่ความบันเทิงย่อมเกินขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะเจ้ามอม หมาเจ้าของโฮมสเตย์นี้ดันหนีไปวิ่งนอกประตูบ้านค่ะ เวลานั้นปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว มุก ออยและพี่น้องต้องช่วยกันจับมอมเข้าบ้านให้ได้ค่ะ ดักกันคนละทาง วุ่นวายมาก555 พวกเราสามคนรุมจับกันเป็นเรื่องใหญ่ จนมีสองหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านมา ดูเหมือนจะตกใจที่เรารุมหมาตัวนี้อยู่ เค้าเลยเอ่ยถามว่า "หมาเป็นอะไรหรอคะ" ออยก็นึกในใจ หมาไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่มันแกล้งทำตัวหนักเพื่อไม่ให้อุ้มมันเข้าบ้านได้นั่นเอง5555" การไล่จับหมาครั้งนี้ เป็นอะไรที่ฮาแตกสุดๆกับความแสบของเจ้ามอมนี่แหละค่ะ จนในที่สุด ตีหนึ่ง เราสามคนก็สามารถเอาเจ้ามอมเข้าบ้านได้ ได้หลับกันแล้วทีนี้พวกเรา....
เอ้กอี้เอ้กเอ้กกกกกก เสียงไก่ขันก็มา 5555555
หกโมงเช้าแล้ววววว มุกกับออยเดินออกจากโฮมสเตย์ไปที่สะพานมอญกัน วันนี้พี่น้องเตรียมชุดข้าวสวย อาหารสดไว้สำหรับใส่บาตรไว้ให้พวกเราด้วยค่ะ บรรยากาศในตอนเช้าค่อนข้างดี อากาศเย็นหน่อยๆ
สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เชื่อมระหว่างฝั่งหมู่บ้านคนไทยกับฝั่งหมู่บ้านมอญ โดยพาดข้ามแม่น้ำซองกาเลียค่ะ ในแถบนี้มีประชาชนอาศัยอยู่หลายเชื้อชาติ อย่างคนไทย กับ คนมอญค่ะ ส่วนใหญ่แล้วชาวมอญจะใช้สะพานนี้เดินทางข้ามมาฝั่งคนไทยเพื่อทำงานในตัวอำเภอสังขละบุรีค่ะ วิถีชีวิตฝั่งมอญค่อนข้างเรียบง่าย เอกลักษณ์การแต่งกายคล้ายคลึงกับพม่าตรงที่ผู้หญิงมักจะนุ่งผ้าถุงแทนการสวมกางเกงค่ะ สาวชาวมอญชอบนำของขึ้นวางไว้บนศีรษะหากพวกเค้าต้องการจะขนย้ายไปไหนๆ อย่างในภาพนี่แหละค่ะ เราจะเห็นคุณป้าชาวมอญท่านหนึ่งนำโถวางไว้บนศีรษะ เดินข้ามสะพานมอญมา มุกกับออยได้มีโอกาสได้ทานขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วยฝีมือชาวมอญแท้ๆเลยค่ะ รสชาติอร่อยไม่แพ้ขนมจีนแบบที่เราเคยทานกัน ร้านจะตั้งอยู่เชิงสะพานฝั่งหมู่บ้านมอญ แอบบอกหน่อยว่าคุณป้าชาวมอญเจ้าของร้านใจดีมาก แถมขนมจีน น้ำโอเลี้ยงให้เราสองคนซะงั้น...ขอบคุณมากนะคะ
หลังจากเราทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว มุกกับออยเดินข้ามกลับมาฝั่งหมู่บ้านไทยค่ะ เราสองคนไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เหมือนเดิม คราวนี้เราได้คำแนะนำจากพี่น้อง เจ้าของโฮมสเตย์ เกี่ยวกับเส้นทางท่องเที่ยวในเขตอำเภอสังขละบุรี ที่แรกที่เราจะไป คือเจดีย์พุทธคยา จุดเด่นที่เห็นได้ชัดเลย ว่าเรามาถึงกันแล้ว คือรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่ๆตั้งอยู่หน้าเจดีย์ดังรูป ภายในประดิษฐานพระพุทธปางต่างๆ
เราใช้เวลาสักการะพระพุทธรูปที่เจดีย์พุทธคยาไม่นานค่ะ เราก็เตรียมออกเดินทางกันต่อ คราวนี้เราขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาทางฝั่งไทยค่ะ (ลืมบอกไปว่า เจดีย์พุทธคยานี้ตั้งอยู่ฝั่งมอญนะคะ) เราขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปทางอำเภอด่านเจดีย์สามองค์ เส้นทางที่เราขี่กันมาไม่ค่อยมีรถมากเท่าไหร่ เพราะเป็นทางออกสู่ชายแดนไทยพม่า ค่อนข้างจะไกลปืนเที่ยง เราขี่มาได้ประมาณ 15 กิโลเมตรก็มาถึงทางแยกเข้าน้ำตกนพพิบูลย์กันแล้วค่ะ เลี้ยวขวาเข้าทางแยกนั้นไปประมาณ 4 กิโลเมตรก็มาถึงน้ำตกนพพิบูลย์กันแล้ว มาถึงเราโชคดีเจอกับสาวพม่าซึ่งเป็นคนในพื้นที่เป็นตากล้องถ่ายรูปให้ออยกับมุกค่ะ ใจดีเล่าให้ฟังอีกว่า น้ำตกนี้ ตามจริงเป็นน้ำตกที่เพิ่งจะค้นพบไม่นาน พบโดยนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่ชื่อ นพพิบูลย์
เราเดินชมน้ำตกกันเสร็จ ต่างคนต่างหิวซะแล้ว ออยกับมุกเลยขี่รถย้อนกลับมาแวะที่จุดเล่นน้ำซองกาเลีย จุดสังเกตง่ายๆคือจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำซองกาเลีย จะมีทางลงไปยังจุดเล่นน้ำ เราพักแวะทานส้มตำ ปลาทอดกันริมแม่น้ำค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่น้ำ แต่ด้วยความที่เรามาที่นี่ตอนช่วงฤดูหนาว น้ำในแม่น้ำ ณ ที่แห่งนี้จึงลดระดับลงไปมากจนเห็นก้นแม่น้ำเลยค่ะ ทำให้พวกเราลงไปเล่นน้ำได้ไม่ยาก เพราะโซนที่เรานั่งทานอาหารกันอยู่ อยู่ติดระดับน้ำที่ค่อนข้างตื้นเพียงแค่หัวเข่า ออยกับมุกไม่ใช่คนในพื้นที่นี้จึงไม่รู้ว่าส่วนไหนของจุดเล่นน้ำที่ลึกหรือตื้นและไม่ทราบว่าวิธีการเล่นน้ำที่นี่ต้องเล่นอย่างไร จนเราได้ "พี่อร" แม่ค้าขายส้มตำร้านสามดาวที่มองเราตั้งแต่เรามาเช่าห่วงยางแล้ว พี่อรบอกว่าจะสอนวิธีเล่นน้ำให้สนุก มีหรือคะที่เราสองคนจะพลาด
พี่อรพาออยกับมุกเดินเลาะข้างๆแก่งหิน พาเราลอยห่วงยางนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่กลางแก่ง เรานั่งเล่นกันอยู่สักพัก ก็มีเด็กๆใส่ชุดนักเรียนมากมายเดินตามออย มุกและพี่อร บางคนพูดภาษาที่เราไม่เข้าใจ บางคนก็ดูออกว่าเป็นเชื้อชาติไทยแน่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีลูกสาวกับหลานชายของพี่อรด้วยค่ะ พอเด็กๆตามมาถึงขอนไม้กลางแก่งที่เรานั่งอยู่นั้น น้องผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เล็กมากนะคะ เดาๆน่าจะ ป.1 ได้ ว่ายน้ำ ปล่อยตัวนำหน้าพวกเราโดยน้ำระดับนั้นลึกสำหรับน้องเค้าแน่นอนค่ะ ยอมรับว่าเด็กๆที่นั่นว่ายน้ำเก่งมาก
"ว่ายน้ำเก่งมาก" มุกเอ่ยขึ้นมา
พี่อรบอกว่า "เด็กๆโตมากับแม่น้ำ พวกเค้าชอบเล่นน้ำมากๆ ว่ายน้ำเก่งเพราะตกเย็น กลับจากโรงเรียนก็ชอบมาเล่นน้ำนี่แหละ"
สิ่งแรกที่ออยกับมุกฉุกคิดในใจคือ "ธรรมชาติสร้างชีวิต"
ออยกับมุกเข้าใจคำว่าธรรมชาติสร้างชีวิตก็วันนี้นี่แหละ เด็กๆโตมาพร้อมกับธรรมชาติที่สวยงาม ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี จนทำให้พวกเค้ามีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่เก่งกาจ ผิดกับพวกเราสองคน เป็นคนเมืองที่อยู่กับตึกมากกว่าป่าเขา มุกกับออยว่ายน้ำไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
มิตรภาพหลากชาติพันธุ์จึงเกิดขึ้น....สังขละบุรี ดินแดนรวมชาวไทย มอญ พม่า ผสมผสานการมีวิถีชีวิตริมแม่น้ำซองกาเลียได้อย่างลงตัว
พี่อรพาออยกับมุกนั่งลงบนห่วงยางคนละห่วง เด็กๆเหล่านั้นก็ทำแบบที่มุกกับออยทำเช่นกัน สองมือของออยกับมุกประสานเข้ากับมือเด็กๆ เรียงกันเป็นทอดๆ ยาวเป็นสายอยู่ใกล้ขอนไม้ใหญ่ ไม่นาน พี่อรก็เป็นคนว่ายน้ำดึงแพห่วงยางที่พวกเราทำขึ้นจากการประสานมือกันเอง พี่อรลากพวกเราและเด็กไปถึงกลางแก่งที่สายน้ำเชี่ยว จากนั้น ปล่อยตัวตามกระแสน้ำ ทำให้พวกเราทั้งหมดไหลลงไปประหนึ่งว่าเรากำลังล่องแก่งกันอยู่ พวกเราสนุกกับการล่องแก่งขนาดสั้นกันมาก ห่วงยางของพวกเรา ไหลไปตามน้ำเรื่อยๆ จนพวกเราต้องหาทางเบรคกันเอง (เพราะน้ำไหลแรงมาก)5555555
วิธีการเบรคก็คือ ต้องยืนค่ะ 55555 แต่จะบอกว่า ยืนลำบากมาก เพราะน้ำแรง โชคดีที่ได้เด็กๆช่วยพยุง ช่วยยึดไว้ค่ะ ไม่งั้นได้เซล้มเพราะโดนน้ำพัดกันพอดี พวกเราประสานมือกันเพื่อเดินเข้าฝั่งมาเริ่มต้นเล่นแก่งใหม่อีกรอบ เด็กๆว่ายน้ำกันเก่งมาก แถมดูมีพละกำลังเยอะกว่าสาวรุ่นอย่างออยกับมุกซะอีก น้องๆยืนอยู่ในน้ำได้อย่างไม่เสียหลัก
รอบที่สอบสำหรับการเล่นล่องแก่งก็เริ่มขึ้น แต่คราวนี้ พิเศษตรงที่มีพี่ผู้ชายท่านหนึ่ง เป็นนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเหมือนมุกกับออยนี่แหละค่ะ เค้ามาจากเกาะสมุย มาเที่ยวสังขละบุรีคนเดียว พี่ผู้ชายท่านนี้บอกว่าเห็นพวกเราเล่นแล้วน่าสนุก เค้าจึงหยิบห่วงยางแล้วว่ายน้ำตามมาเล่นจับมือกับเด็กต่อเป็นแพพร้อมพวกเราเลยค่ะ
ตอนพวกเราไหลลงแก่งไป ห่วงยางของออยเองจะพลิก ออยเกือบคว่ำลงน้ำ ดีที่พี่ผู้ชายท่านนั้นค่อยจับกดห่วงยางออยไว้ ไม่ให้คว่ำ ไม่งั้นออยก็หลุดจากห่วงยางแน่ๆค่ะ ต่างคนต่างช่วยกันพยุงห่วงยางไปพร้อมๆกัน พยายามไม่ให้แพห่วงยางเราแตก ไม่ปล่อยมือกันเพื่อให้เราไหลลงไปพร้อมกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังไปทั่ว พวกเราสนุกกันมาก
เด็กๆพวกนั้น พี่อร พี่ที่มาจากสมุย พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้จักออยกับมุกมาก่อน พวกเค้าเจอออยกับมุกครั้งแรกที่นี่ ...ริมแม่น้ำซองกาเลีย แต่ทำไมพวกเค้าถึงเข้าขา เล่นกับพวกเราเหมือนคนรู้จักกันมานาน
นี่ใช่ไหม...ที่เข้าเรียกว่า "มิตรภาพแห่งซองกาเลีย" มิตรภาพหลากชาติพันธุ์