สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน
การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%
จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น
ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน
ทริปนี้ปลายทางภารกิจหลักผมอยู่ที่หัวหิน เช่นเคยครับถือโอกาสใช้วันหยุดสุดสัปดาห์เที่ยวตระเวนละแวกนี้ซักหน่อย ใครๆ ก็คงจะมาหัวหินกันบ่อยแล้ว ผมเองก็มาหัวหินบ่อยมาก ๆ บ่อยจนนึกไม่ออกแล้วว่าอยากจะไปไหนอีก 555
เพื่อความสดใหม่และขอรำลึกความหลังครั้งยังเยาว์ กลับไปเที่ยวเมืองประจวบแถวๆ อ่าวมะนาวซักหน่อย ....โดนรับน้องครั้งแรกแบบแสบๆ คันๆ ก็โดนที่นี่ พาสาวมาเที่ยว ตจว ครั้งแรกก็แถวๆ นี้ 555 กลับไปสำรวจความเปลี่ยนแปลงซักหน่อยก็น่าจะดี....ภาพชุดนี้ถ่ายเมื่อ 6 พค 2561 นะครับ
ก่อนออกจากหัวหิน ตื่นแต่เช้าแวะไปเดินเล่นแถวๆ สะพานปลา ตรงสุดซอยหัวหิน53 เก็บแสงเช้า สังเคราะห์แสงเพิ่มวิตามินดีกันซักหน่อยซักหน่อยถือเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมีคุณภาพนะคร้าบ 555
บรรยากาศแถวๆสะพานปลา ใครๆ ก็ตื่นแต่เช้าออกมาทำมาหากินกัน
สะพานปลาเก่า ในอดีตที่เคยเป็นท่าเทียบเรือประมง มีทั้งชาวเรือ และพ่อค้าปลา คึกคัก ตอนเช้ามืดทุกวัน แต่วันนี้ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ยังคงสวยงาม และเป็นจุดถ่ายภาพที่ไม่ควรพลาดอีกแห่งในเมืองหัวหิน...รักถ่ายภาพจริงต้องตื่นเช้า ๆ กันหน่อยนะครับ
ถ่ายรูปเล่นจนเวลาสายแล้ว เริ่มหิวไปหาอาหารเช้ากินกันครับ ร้านนี้ผ่านไปผ่านมาหลายรอบไม่ได้แวะซักทีวันนี้อยู่ใกล้ๆ ได้จังหวะแวะซะเลย ร้านบ้านถั่วเย็นอยู่ใกล้ๆ ซอย 51ครับ เปิด GPS ไปได้เลย จากสะพานปลาไปนิ๊ดเดียว
มาร้านนี้ก็ต้องกินถั่วซะหน่อย ผมเลือกเป็นถั่วแดงเย็นละกัน...หวานนิด หอมหน่อย ชื่นใจ สไตล์ไทยแลนด์ครับ
สำหรับมื้อเช้าต้องนี่เลยครับ ปาท่องโก๋กรอบ ๆ จิ้มกับแยมถั่วแดงราดนมสด อร่อยลงตัวจริง ๆ ครับ
ตามด้วยโจ๊กทรงเครื่องหนัก ๆ แบบนี้อีกชาม ไม่อิ่มก็ไม่รู้ว่าไงแล้วครับ...จบข่าว...สบายพุงกันไป..ฮ่า ๆ...เมนูนี้ห้ามพลาดนะครับ (เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดีนะ)
อ่ะ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมจัดเผื่อแซนวิททูน่าไปกินบนรถอีกนิ้ดก็ไม่ผิดกติกา ...555..ของเค้าอร่อยจริง..ใครไม่รู้บอกไว้ว่า "อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า"
ที่กินเยอะขนาดนี้เพราะว่าวันนี้ ผมจะต้องใช้พลังงานกันอีกเยอะครับวันนี้มีแผนยาวๆ เต็มวัน โดนตอนเช้าเราจะไปถ้ำพระยานคร กันก่อนแล้วค่อยไป อุทยานประวัติศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอตอนบ่าย จากตัวเมืองหัวหินไปถ้ำพระยานคร ให้ตั้ง GPS ไปหาดบางปูได้เลย ประมาณ 50กิโลหน่อยๆใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็ถึงครับ ถ้ามาเจออนุสาวรีย์ปูนี่ก็แปลว่ามาถูกที่แล้วครับ เลือกเอาได้เลยว่าจะนั่งเรือไปหรือจะเดินข้ามเขาไปนะครับ
ผมเลือกนั่งเรือแน่นอน ขอเก็บพลังงานในร่างกายไว้ใช้ทางอื่นดีกว่า ค่าเรือตกลำละ 300 บาทถ้าจะไม่ผิดนะครับ รอไปพร้อมๆ กันหลายๆ คนก็หารกันไป มีเรือรับส่งทั้งไปและกลับนะครับ พร้อมแล้วเดินลงหาดไปขึ้นเรือกันเลย
ทางเดินขึ้นเขาชันหน่อยยาว 430เมตร ตามที่ป้ายบอกไว้ วันร้อนๆ นี้บอกได้เลยว่าเปียกครับ น้ำผมหมดขวดตั้งแต่ยังไม่ถึงถ้ำเลย ...ใครอยากเบิร์นพลังงาน ลดน้ำหนัก ล่ะก็มาที่นี่ไม่ผิดหวังครับ..ฮ่า ๆ
แล้วก็มาถึงปากถ้ำแล้วครับ....(เหมือนใกล้ ๆ สบาย ๆ เนอะ)...555
พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ สวยงามแปลกตาขัดกับสภาพแวดล้อมรอบๆ มัคคุเทศก์น้อยอายุ10 ขวบ บอกว่าถ้าพี่อยากจะได้ภาพที่แสงลงตรงพระที่นั่งพอดีพี่ต้องมาหน้าหนาวนะคับ...ทำไม่เอ็งเพิ่งมาบอกพี่ตรงนี้ว๊า 5555
เดินสำรวจไปรอบๆ ค้นหามุมมองใหม่ๆ กันบ้างนะครับ
อีกซักรูป ก่อนเดินกลับลงไปด้านล่างครับ
เดินกลับออกมาพักกินน้ำกินขนมที่ร้านค้าให้หายร้อนหายเหนื่อยแล้วนั่งเรือกลับมาที่หาดบางปู จากนั้นก็ออกเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ กันต่อเลยตั้ง GPS จากหัวหินไป ใช้เวลา 1ชั่วโมง กับระยะทางราวๆ 75 กิโลเมตร อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ซึ่งครั้งหนึ่งในหลวงรัชการที่4 (พระบิดาของวิทยาศาสตร์ไทย) เสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทรงพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ 2411 ซึ่งท่านได้ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้วถึง 2 ปี
บริเวณอุทยานกว้างมากกกก ต้องใช้รถส่วนตัวในการเที่ยวชมนะเดินไม่ไหวแน่นอน อุทยานฯแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 โซนหลักๆ ตามนี้ 1. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ 2. กิจกรรมค่ายหว้ากอ 3. สวนผีเสื้อ 4. อาคารดาราศาสตร์และอวกาศ 5. พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4....แดดร้อนมากหาที่ร่มๆ จอดรถแล้วเข้าไปเดินตากแอร์ข้างในกัน
ตามผมมาเลยครับ...พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงเย็น ค่าเข้าชม เด็ก 20 บาทผู้ใหญ่ 30 บาท ครับ
จากขุนเขาสู่สายน้ำ ส่วนจัดแสดงส่วนนี้จำลองบรรยากาศป่าต้นน้ำ ป่าฝนเขตร้อนที่มีความหลากหลายทั้งชนิดพืชและสัตว์ เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนของโลกที่เกื้อกูลต่อสิ่งมีชีวิตและเป็นพื้นที่รับน้ำฝนที่ตกลงมา ดูดซับและค่อย ๆ ระบายผ่านร่องน้ำลำธารน้อยใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบแอ่งน้ำต่าง ๆ และไหลระบายลงสู่ทะเล ระบบนิเวศน้ำจืด ประกอบด้วยระบบนิเวศน้ำไหล บริเวณลำธาร น้ำตก บริเวณ ต้นน้ำ และระบบนิเวศน้ำนิ่ง เช่น บึง ป่าพรุ เป็นต้น รวมทั้งแหล่งน้ำต่าง ๆ พร้อมหุ่นจำลองของสัตว์ในระบบนิเวศ โดยแสดงถึงแหล่งต้นน้ำและแหล่งน้ำใหญ่ ความสัมพันธ์เชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ พันธุ์ปลาที่จัดแสดงในส่วนนี้ ได้แก่ ปลาในระบบนิเวศต้นน้ำ ลำธารและน้ำตก ปลาในระบบนิเวศแหล่งน้ำใหญ่ แม่น้ำ ลำคลอง ปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด ปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดของไทย ปลาน้ำจืดของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ปลาที่มีอวัยวะพิเศษช่วยหายใจ ปลาน้ำจืดสวยงามของไทย และปลาน้ำจืดสวยงามต่างประเทศ
ระบบนิเวศแหล่งน้ำใหญ่
พันธ์ปลาน้ำจืด ชนิดต่างๆ ที่พบในประเทศไทย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ สนใจกันมากครับ ปลาบางชนิด บางคนไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ กันเลย นอกจากตอนเป็นอาหารอยู่บนโต๊ะกินข้าวเท่านั้น...ฮ่า ๆ
สีสันแห่งท้องทะเลเป็นการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตสัตว์น้ำตามถิ่นอาศัยในระบบนิเวศน้ำกร่อย และน้ำทะเล เช่น ระบบนิเวศป่าชายเลน และระบบนิเวศหาดทราย หาดหิน แหล่งหญ้าทะเล โลมา พะยูน และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ แนวปะการัง ชมปลาเศรษฐกิจ สัตว์ทะเลที่มีพิษและอันตราย ที่อาศัยบริเวณกองหิน ที่อาศัยอยู่ในแหล่งหญ้าทะเล พันธุ์ปลาขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในแนวปะการังฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ชมดอกไม้ทะเลและปะการังนานาชนิดรวมทั้งสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลก ๆ
ระบบนิเวศป่าชายเลน
ระบบนิเวศชายฝั่ง
ปลาทะเลชนิดต่างๆ มากมาย
พันธุ์ปลาขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ในแนวปะการังฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน
เปิดโลกใต้ทะเล จัดแสดงโลกใต้ทะเลไทย สัตว์น้ำขนาดต่าง ๆ โดยเฉพาะขนาดใหญ่ในถิ่นอาศัยใต้ทะเล ตั้งแต่ผิวน้ำ กลางน้ำ และพื้นทะเล พร้อมทั้งชมนักประดาน้ำให้อาหารสัตว์น้ำในตู้ปลาขนาดใหญ่ และอุโมงค์ปลา
เก๋าใหญ่มากกกกกก
เทียบขนาดให้ดู...ตัวเกือบเท่าเด็กอ่ะครับ
อุโมงค์ใต้ทะเลเดินชมถ่ายรูปกันตามสะดวกเย็นสบายและไม่เปียกเลยซักนิ๊ด..เหมือนเราหายใจใต้น้ำได้เลยนะ...555
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ซึ่งจุดที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับ ขณะเสด็จทอดพระเนตรการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่บ้านหว้ากอเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411
อาคารดาราศาสตร์และอวกาศ ประกอบด้วยอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกันและมีชื่อคล้องจองกันเพราะเชียวคือ อาคารพันทิวาทิต อาคารพันพินิจจันทรา และอาคารดาราทัศนีย์
อาคารแรกดาราทัศนีย์ลักษณะของอาคารนี้เป็นโดมทรงสูงเท่ากับตึกเจ็ดชั้น ด้านในเป็นบันไดเวียนค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปด้านบน รวมทั้งมีนิทรรศการเกี่ยวกับพัฒนาการทางดาราศาสตร์ แนวคิดของปราชญ์ในสมัยโบราณที่เกี่ยวกับดวงดาว และชั้นบนสุดก็สามารถชมวิวรอบๆ อุทยานได้ด้วย (แต่ตอนที่ผมไปปิดปรับปรุงอยู่นะครับ)
มุมมองจากชั้นล้างมองขึ้นไปยังชั้นบน (อาคารนี้ไม่ได้เปิดแอร์นะครับ เหมือนอยู่ใน เตาอบ จนได้ที่เลย)
จินตนาการไปว่ากำลังเดินลงบันได้เวียนอันโด่งดัง ที่พิพิธภัณฑ์วาติกันที่กรุงโรม อยู่ ๆ ก็เย็นขึ้นมาเลย 555
วิวัฒนาการทางด้านดาราศาสตร์ไล่ขึ้นไปจากอดีตสู่ปัจจุบัน ข้อมูลเยอะมากนะเดินหมุนไปอ่านไปตาลายเลย
จากอาคารดาราทัศนีย์ที่ชั้น 2 จะมีทางเดินเชื่อมไปยังอาคาร พันพินิจจันทรา เมื่อผ่านเข้าไปก็จะพบกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 4 ที่ทำจากไฟเบอร์กลาส อยู่ในท่าประทับยืน รวมทั้งยังมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ของพระองค์อย่างเช่นแผนที่ดาว และกล้องส่องดูดาวด้วย
นอกจากนั้นภายในอาคารแห่งนี้ยังเป็นที่จัดแสดงเรื่องราวของดาราศาสตร์ในยุคสมัยต่างๆ ของไทย เริ่มจากยุคสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ด้วย
ภาพจำลองเหตุการณ์ขณะเสด็จทอดพระเนตรการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่บ้านหว้ากอเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 บริเวณชั้น1 อาคารพันพินิจจันทรา
ออกจากอุทยานฯ มุ่งหน้าเข้าอ่าวมะนาว เข้าที่พักที่ผมจองไว้แล้ว ฟ้าชมคลื่น เป็นอาคารที่พักสวัสดิการของกองทัพอากาศนะครับ แต่เปิดให้คนนอกเข้าไปพักได้ ห้องที่ผมพักคืนละ 1500 บาท รวมอาหารเช้า ติดชายหาด มีสระว่ายน้ำ ห้องกว้างดีถึงจะเก่านิด ๆ แต่ก็สะอาดสะดวกสบายดีทำสำคัญคือสงบมากกกก... ไม่เหมือนชะอำ หรือหัวหินเลย
ภายในห้องนอน ผมว่า ใช้ได้เลยนะครับ นอนติดทะเล ราคา ห้องแบบนี้ผมโอเคมาก
วิวจากระเบียงห้องนอนเห็นแสงเหนือด้วยนะ....ล้อเล่นนน ๆ
เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นชมชีวิตแสงสีของที่นี่กันครับ.......บริเวณอ่าวประจวบยามเย็น
ถนนคนเดินประจวบ ตรงสะพานสราญวิถี มีเฉพาะวันศุกร์และเสาร์ ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 5 ทุ่ม ของกินเยอะมากมื้อเย็นนี้สบายแล้วเรา
เช้านี้กินข้าวเสร็จแล้วเราจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์อุทยานประวัติศาสตร์กองบิน 53กัน (บางที่ก็เรียกกองบิน 5 นะ) อยู่ติดกับที่พักนี่เลยครับ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นการเชิดชูเกียรติประวัติการต่อสู้ของวีรชนชาวกองบินน้อยที่ 5 ที่ได้ร่วมกันต่อสู้อย่างกล้าหาญและสละชีวิตกับกองกำลังญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบกที่อ่าวมะนาวแห่งนี้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพื่อใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางเดินทัพ เพื่อเข้าตีฐานทัพอังกฤษในประเทศพม่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึงบ่ายสามโมงเย็น อัตราเข้าชมผู้ใหญ่ 40 บาทเด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 80 บาทเด็ก 50 บาท โดยส่วนจัดแสดงถูกแยกออกเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ 3 หลัง ด้วยกัน
อาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่1
โดยในอาคารจัดแสดงแผนที่จำลองบริเวณกองบินที่5 และประวัติ กองบินที่5 ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ห้องการแสดง แสง สี เสียง จำลองการสู้รบเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ( ชำรุดรอการซ่อมแซม) ...จะไปเที่ยวชมห้องนี้กันยังไงเช็คข้อมูลกันอีกทีนะครับ
รูปปั้น น.ต.ม.ล. ประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับการกองบินน้อยที่5 ผู้นำกองกำลังต่อต้านการยกพลขึ้นบกของกองกำลังทหารญี่ปุ่น ด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เมื่อวันที่ 8 -9 ธันวาคม พ. ศ. 2484
อาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 2
จัดแสดงเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ห้องนี้จัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ ของครอบครัวทหารในสมัยนั้น
อาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 3
จัดแสดงประวัติศาสตร์และขั้นตอนการแกะสลัก แท่งหิน
จัดแสดงประวัติความเป็นมาของการได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญของกองบินน้อยที่ 5
จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติและการจำลองสถานที่ทำงานของ ร.ต. สมศรี สุจริตธรรม
ชั้น 2 ของอาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 3
บริเวณรอบ ๆ อุทยานประวิติศาสตร์ยังมีอนุสาวรีย์ และประติมากรรมหินแกะสลักที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น อนุสาวรีย์รายนามผู้เสียชีวิต ทั้ง 42 คนในเหตุการณ์ต่อสู้วันที่ 8 ธันวาคม
อนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484 จัดสร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติประวัติการต่อสู้อันกล้าหาญของทหารอากาศไทย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ.กองบิน 5 แห่งนี้
แท่งหินแกะสลัก ภาพหินแกะสลักทำจากหินทรายเขียวน้ำหนัก 60 ตันจัดสร้างเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของวีรชน 8 ธันวาคม 84 ด้านหน้าเป็นภาพจำลองการต่อสู้เพื่อขัดขวางการยกพลขึ้นบกของกองกำลังญี่ปุ่น
ด้านหลังเป็นภาพจำลองเหตการณ์ การเซ็นสัญญาสงบศึก
มีค่างแว่นแอบอยู่ด้วยนะ ใครไปแล้วหาให้เจอกันล่ะ ....เดี๋ยวเฉลยให้ดูครับ...ตามเที่ยวกันต่อให้จบนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้น...ฮ่า ๆ
เครื่องบินรบของกองบินน้อยที่ 5 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ เขี้ยวเล็บของชาติไทยในอดีต ยังถูกเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นลูกหลาน ได้มาชมความเป็นมาครับ
ชายหาด และเรือประมงชาวบ้านที่จอดทอดสมออยู่บริเวณด้านหลังอนุสาวรีย์วีรชน
บริเวณใกล้ ๆ รอบเขาล้อมหมวก ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของค่างแว่นถิ่นใต้ สัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พศ. 2535 จำนวนมาก อย่ามัวเดินกันเพลิน มองดูดี ๆ เจอแน่ครับ
หน้าตาน่ารักแบบนี้สามารถพบเห็นได้อย่างใกล้ชิดทั่วบริเวณและไม่กลัวคนเลย...เจ้าค่างแว่น เลยกลายเป็นดาราจำเป็นของที่นี่เลยครับ
ก่อนไปหาที่พัก เห็นคำจารึกใต้ฐาน "เอกราช จะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาด เป็นชาติพลี" ...อ่านแล้วขนลุกครับ..ขอกราบหัวใจท่านวีรชนผู้กล้าทุกท่าน มา ณ. ที่นี้ด้วยเลยครับ
ไหน ๆ ก็มาถึงตีนเขาล้อมหมวกแล้วคืนนี้หาที่พักแถวๆ นี้แล้วพรุ่งนี้เราปีนเขากันแต่เช้าดูวิวมุมสูงซักหน่อยแล้วค่อยปิดทริปกลับบ้านกันละกัน.....เขาล้อมหมวกอยู่ในเขตของพื้นที่กองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเดินทางนั้นจะต้องเข้าไปภายในกองบิน แล้วจะมีทางแยกไปเขาล้อมหมวกก่อนที่จะถึงอ่าวมะนาว เมื่อเลี้ยวเข้าทางแยกในกองบินก็ให้ขับตรงไปจนถึงตีนเขา แล้วก็หาที่จอดรถบริเวณนี้ได้เลย
ขอเตือนไว้ดังๆ ก่อนเลยใครจะมาเดินออกกำลังกายที่นี่ ว่าเค้าไม่ได้เปิดให้เดินขึ้นยอดเขากันทุกวันนะ จะเปิดเฉพาะวัดหยุดยาวตามตารางด้านล่างเท่านั้น (เช็คกับทางเพจ เที่ยวประจวบ ก็ได้ครับ) เพราะฉะนั้นวางแผนกันให้ดี ๆ วันหยุดที่ผมไปคนเยอะมากกกกกกกกกกก กอไก่ 2ล้านตัว!!!.... ใช้เวลาเดินๆ หยุดๆ ไป 3 ชั่วโมงหน่อยๆ (จากบันไดขั้นแรกจนถึงยอด จากที่น่าจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง) ดังนั้นควรจะเริ่มออกเดินเช้าๆ ยิ่งได้เดินเป็นกลุ่มแรกๆ ยิ่งดีเพราะจะได้ไม่ติด ไม่ต้องเข้าคิวรอกันบนเขาให้เสียอารมณ์ รองเท้าฟองน้ำไม่รอดแน่นอนทิ้งไว้ข้างล่างได้เลย เตรียมรองเท้าเดินพื้นหนาๆ ใส่สบายๆ มา ถุงมือมีขายที่จุดลงทะเบียน ซื้อติดมาด้วยรับรองได้ใช้แน่นอน หมวกกันแดด น้ำดื่ม ติดมาให้พร้อม ขนมนิดหน่อยติดตัวไว้กินเพิ่มพลังระหว่างทาง (เราเตือนท่านแล้วนะ555) อย่าลืมเก็บขยะของตัวเองลงมาด้วยนะครับอย่างเอาไปทิ้งข้างบนให้เป็นภาระสังคมเด็ดขาด
ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้วไปกัน เห็นยอดเขาอยู่ลิบๆ นู้นละปลายทางของเรา…ไฮไลท์ ของทริปนี้ อยู่บนโน้นจร้า
เจ้าบ้านมารอต้อนที่หัวบันได้เลย.......ทางช่วงแรกก็จะชิวๆ เดินขึ้นบันไดชมนกชมไม้ชมวิว 2 อ่าวไปเรื่อย ๆ
พอหมดบันได้ก็ต้องเริ่มออกแรงกันมากขึ้น บางช่วงก็เดิน 2 ขา บางช่วงก็ต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (2 แขน 2 ขา) ก็ว่ากันไปตามที่สะดวกแล้วกันครับ..555
ถึงยอดเขาล้อมหมวก แล้ว เอิ่ม...นี่ทัวร์จีนลงรึป่าว ….เขาล้อมหมวกไม่น่าดังขนาดนั้นนะ 555 อย่างที่บอกว่าวันนั้นคนเยอะมากกกก ความชิวอย่าไปพูดถึงเอาแค่ระวังอย่าไปเหยียบหัวแม่เท้าคนข้างๆ ให้ได้ก่อนก็พอแล้ว มองโลกในแง่ดีไว้ครับมากันเยอะๆ ไม่มีเหงาหาเพื่อนใหม่ไประหว่างทาง แบ่งขนมกันกินสนุกจะตาย...ไม่แน่นะ อาจจะเจอเนื้อคู่บนนี้ก็ได้... 555
จุดชมวิวด้านล่าง คือ ฝั่งอ่าวประจวบฯ จากยอดเขาล้อมหมวก นะครับ....เห็นภาพนี้แล้วหายเหนื่อยเลย...อยากให้ทุกท่านมาเที่ยวกันจริง ๆ เลยครับ...รับรองประทับใจแน่นอน
เสพความงดงามของยอดเขาล้อมหมวก กันเต็มปอดแล้ว ก็ได้เวลาลงเขาแล้ว....ขาลงก็ไม่ต่างจากขาขึ้นซักเท่าไหร่ ต่อคิวกันลงไปใจเย็นๆ ได้ลงทุกคนคร๊าบบบ
กว่าจะกลับมาถึงรถ เล่นเอาหมดพลังเลยครับ...ทริปนี้เป็นสุดสัปดาห์ที่ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับกันซักที่ แต่ขอแวะเติมคาเฟอิน และความหวานซักนิดก่อนจะอำลากันนะครับ....แวะร้านกาแฟซักนิดก่อนจะยิงยาวเข้ากรุงเทพม้วนเดียวเลยครับ
บรรยากาศภายในร้านฝั่งนี้จะขายช๊อกโกแลตที่ทำกันสดๆ ในร้าน
อีกฝั่งหนึ่งจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟบรรยากาศกว้าง ๆ สว่างๆ หน้าต่างบานใหญ่ ๆ รอบด้านเลย
ตอนนี้ผมต้องการความหวาน และความเย็นแค่ไหนให้ดูจากอาหารที่สั่งนะครับ
เค้กสตอเบอร์รี่ชิ้นละ 120 ส่วนกาแฟนี่จำไม่ได้จริงๆ ..... สำหรับทริปนี้ ผมขอ ลาทุกคนไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ.....จนกว่าจะพบกันใหม่โอกาสหน้านะครับ