สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน
การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%
จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น
ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน
ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า
ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า คือการนำเอาฟืนมาเผา เพื่อให้พระพุทธเจ้าได้ผิงไฟ จัดขึ้นในช่วงเดือน ๔ ของทางภาคเหนือ หรือประมาณเดือนธันวาคมถึงมกราคม ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำของเดือน เป็นช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ชาวล้านนามีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปในวิหารก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นเช่นเดียวกับคนเรา จึงร่วมกันหาไม้ฟืนมาจุดเผาไฟผิงให้เกิดความอบอุ่น ประเพณีนี้เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับบริบททางสภาพแวดล้อม เนื่องจากในดินแดนล้านนาเป็นพื้นที่ๆมีความหนาวเย็นมาก รวมทั้งมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และมีความชื้นสูง การผิงไฟนอกจากจะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายแล้ว ยังขับไล่ความชื้นในอากาศที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยอีกด้วย
คำว่า “หลัว” เป็นภาษาล้านนา หมายถึง ฟืน ส่วนคำว่า “หิง” หมายถึง การผิงไฟ และคำว่า “พระเจ้า” หมายถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้ามีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมาอย่างแพร่หลายทั่วไปในล้านนา แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง ส่วนมากจะเป็นวัดที่อยู่แถบชนบทห่างไกล และสามารถเสาะหาฟืนได้ง่าย ได้แก่วัดยางหลวง และวัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประเพณีนี้มักจะทำควบคู่ไปกับประเพณี “ทานข้าวล้นบาตร” เพื่อบูชาแม่โพสพ และทานข้าวใหม่ให้แก่วัด บางแห่งก็เรียกรวมว่าเป็นประเพณี “ทานข้าวใหม่-หิงไฟพระเจ้า” หลังจากสิ้นเดือน ๓ เหนือของทางภาค หรือประมาณเดือนธันวาคม พระ เณร และโยมวัด จะพากันออกไปหาฟืนในป่า เพื่อเตรียมไว้สำหรับทานหลัวหิงไฟพระเจ้าในเดือนยี่เป็ง
ไม้ที่จะใช้บูชาพระเจ้านั้นมีข้อกำหนดว่าจะต้องเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม มีดอกหอม ห้ามใช้ไม้ที่มีรสเผ็ด รสเปรี้ยว หรือมีกลิ่นเหม็นเด็ดขาด ให้เลือกไม้ที่มีสีขาว ให้ถ่านดี ทนทาน ไม่แตกเวลาก่อไฟ และหาได้ง่ายในท้องถิ่น ไม้ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีไม้กาสะลอง (ไม้ปีป) ไม้สบันงา (ไม้กระดังงา) ไม้จุ๋มป๋า (ไม้จำปา) ฯลฯ ในการคัดเลือกไม้ ให้เลือกกิ่งที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒-๓ นิ้ว และตัดให้มีความยาวประมาณ ๑ วาของเจ้าภาพ หรือ ๑.๘๐- ๒.๐๐ เมตร แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้ง ถึงวันก่อนเดือน ๔ เป็ง ๑ วัน แล้วถากเอาเปลือกไม้ออกทุกส่วน นำมามัดรวมกันให้ได้ ๘๐ ท่อน เท่าจำนวนพระชนมายุของพระพุทธเจ้า คือ ๘๐ พรรษา
จากนั้นช่วยกันแบกหามเข้าสู่วัดนำมาไว้ที่ลานข้างวิหาร หรือที่ล้านนาเรียกว่า “ข่วงแก้วทังสาม” หรือ “ข่วงแก้วอาราม” ตรงหน้าพระประธาน จากนั้นจัดการกองสุมหลัวเป็นรูปเหมือนกระโจมอินเดียนแดง โดยทำเป็นซุ้มสองกองไว้ ชั้นแรกใช้ไม้รวกเป็นแกนตั้งข้างใน ข้างนอกเป็นพวกไม้ซางและไม้อื่นๆที่เตรียมไว้ ใช้เถาวัลย์ตรึงมัดกองโดยรอบ โดยเฉพาะตัวแกนในเพื่อไม่ให้กองฟืนโค่นล้ม ไม้ฟืนทั้งหมดต้องคละด้วยไม้ที่เก็บมาใหม่ หากเป็นไม้แห้งหมดจะไหม้ไฟไวเกินไป นอกจากนี้มีการใส่ “หมากสะโปก” ไม้ประทัด หรือไม้ระเบิดสอดเข้าข้างในด้วย ขณะที่ไม้ติดไฟจะแตกเสียงดังไปไกล เป็นสัญญาณให้ชาวบ้านลุกตื่นมาจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร เพื่อมาทำบุญที่วัด ไม้นี้ทำจากไม้ไผ่ซาง หรือไม้บง ตัดปิดหัวท้ายเป็นท่อน อาจเป็น ๒ ท่อนบ้าง ๓ ท่อนบ้าง ใส่สะโปกประมาณ ๔-๕ ชุด เตรียมไว้สำหรับเผาต่อไป
ก่อนวันทำพิธีชาวบ้านจะทยอยกันนำไม้ที่ตนเก็บมาวางในกองฟืน เพื่อทำพิธีพร้อมกันในเช้าวันรุ่งขึ้น คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ สำหรับพิธีการเริ่มจากชาวบ้านผู้มีศรัทธาจะเตรียมพานข้าวตอกดอกไม้ ฟืนท่อนยาว ๑ วา จำนวนหนึ่งมัด และภัตตาหารถวายแก่พระสงฆ์ เมื่อไหว้พระรับศีลรับพรเรียบร้อยแล้ว จะมีการกล่าวคำถวายที่มีใจความเกี่ยวกับการบูชาพระรัตนตรัย การถวายทานและการสร้างกุศล
จากนั้นจะเอาฟืนเข้าประเคนหน้าพระพุทธรูปองค์ประธานพิธี หรือบางแห่งจะใช้กรวยดอกไม้ประเคนหน้าพระสงฆ์เพื่อเป็นการสักการะ ในเวลาประมาณ ๐๔.๐๐-๐๕.๐๐ น. จะเริ่มจุดกองไฟหรือกองฟืนนั้น โดยเจ้าอาวาสจะจุดไฟเป็นท่านแรกพร้อมกับตีฆ้อง ๓ ลา เพื่อให้ประชาชนได้ทราบและร่วมอนุโมทนาบุญด้วย
ในชนบทบางท้องที่นอกจากจะทำบุญทานหลัวหิงไฟพระเจ้าแล้ว ก็จะทำพิธีทำบุญทานข้าวใหม่ ข้าวล้นบาตร ไปพร้อมๆ กันในช่วงของประเพณีเดือน ๔ เมื่อชาวบ้านนำข้าวเปลือกเข้ายุ้งฉางแล้ว จะนำข้าวนั้นไปทำบุญข้าวใหม่ ก่อนที่จะนำไปข้าวนั้นไปสีเพื่อรับประทาน การทำบุญในวาระนี้เรียกว่า “ทานขันข้าวใหม่” เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปถึงเทวดาขุนน้ำ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ที่เป็นเจ้าของไร่นามาแต่เดิม สำรับอาหารประกอบไปด้วยข้าวนึ่งสุก พร้อมกับอาหารที่นิยมกันตามท้องถิ่น
นอกจากประเพณีทานข้าวใหม่แล้ว ในบางท้องที่มีการทำบุญทานข้าวจี่ ข้าวหลาม ชาวบ้านจะนำเข้าที่ได้จากท้องนามาประกอบอาหารประเภทต่างๆ เช่น ข้าวจี่ ข้าวหลาม ข้าวเม่า ข้าวต้ม ข้าวต้มกะทิ ข้าวหนมจ๊อก ข้าวต้มใบอ้อย โดยนำอาหารเหล่านี้ไปถวายพร้อมกับอาหารคาวประเภทอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ถือโอกาสทานขันข้าว คือถวายอาหารเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
ข้าวจี่ คือของกินเล่นชนิดหนึ่ง โดยการนำก้อนข้าวเหนียวเสียบปลายไม้แล้วปิ้งบนเตาถ่านให้ข้าวเหลืองกรอบและมีกลิ่นหอม ส่วนข้าวหลามนั้น คือข้าวเหนียวถูกหลามให้สุกในกระบอกไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่มีเยื่อหนา โดยกรอกข้าวเหนียวที่เป็นข้าวสารเติมน้ำไว้ตั้งแต่ตอนเย็น พอถึงตอนเช้าข้าวที่แช่น้ำไว้จะพองตัว นำกระบอกไม้นั้นไปผิงไฟกับถ่านแดงจนข้าวสุก การปอกข้าวหลามนั้นนิยมถากผิวไม้ส่วนที่ไหม้ไฟออกให้เหลือเนื้อไม้ไผ่สีขาวหุ้มข้าวหลามไว้
ในการทานข้าวใหม่ ศรัทธาจะนำเอาข้าวเปลือกและข้าวสาร มาทานเป็นข้าวล้นบาตร หรือเรียกว่า “หล่อข้าวบาตร” หรือ บางแห่งเรียกว่า “ทานดอยข้าว” ตรงกลางวิหารปูเสื่อกะลาไว้ ๒ จุด แต่ละจุดตั้งบาตรไว้ ๑ ลูก เมื่อชาวบ้านนำข้าวมาเทลงไปในบาตรข้าวเปลือกกองหนึ่ง และบาตรข้าวสารกองหนึ่ง กองข้าวสารเรียกว่า “เงินดอย” ส่วนกองข้าวเปลือกเรียกว่า “เงินคำ” ซึ่งข้าวที่ได้นี้พระภิกษุสามเณรจะเก็บไว้นึ่งกินในช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ออกบิณฑบาตไม่ได้ ปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีไร่นา การทำบุญข้าวล้นบาตรจึงค่อยๆ หมดไป เพราะไม่มีข้าวเปลือกไปหล่อบาตร บางแห่งจึงมีแต่การ “ทานดอยข้าวสาร” เท่านั้น การทานข้าวล้นบาตรนี้ นอกจากจะเป็นการบูชาแม่โพสพ ขอบคุณเทวดาอารักษ์ และบำรุงพระศาสนาด้วยการให้ผลผลิตแก่วัดแล้ว ยังเป็นโอกาสให้คนชุมชนแสดงความเอื้อเฟื้อต่อผู้ยากไร้หรือผู้ที่ประสบปัญหาได้ผลผลิตน้อยในปีนั้น นับเป็นการสร้างสามัคคีในชุมชนโดยผ่านพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย