สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน
การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%
จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น
ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน
ยโสธรเมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน
หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ
จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ยโสธรเป็นจังหวัดเล็กๆที่มีประชากรไม่เยอะมาก แต่เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้มของชาวบ้านที่อยู่กันอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตแบบวิถีชาวบ้าน ทำไร่ทำนา ถ้าเราพูดถึงจังหวัดยโสธร เราก็จะนึกถึง บั้งไฟ เรียกว่าเป็นดินแดนนาซ่าของไทย เพราะที่นี่เขาจะขอฝนโดนการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้า เพื่อบูชาพระยาแถนในการเบิกฤกษ์เบิกชัย ในการทำนา เมื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ชาวบ้านก็จะร่วมเตรียมงานบุญงานใหญ่ของจังหวัด ซึ่งแต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนก็จะระดมไอเดียร์กันออกมา ในการครีเอทงานในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ขบวนรำฟ้อน การเอ้บั้งไฟ และสิ่งที่เป็นจุดเด่นของงานคือบั้งไฟ ที่จะใช้จุดเพื่อถวาย ในช่วงกลางวันกลุ่มผู้ชายก็จะพากันไปหาตัดไม้ไผ่เตรียมวัตถุดิบ อุปกรณ์ที่ใช้การทำบั้งไฟ การทำดินประสิวที่จะใช้เป็นชนวนในการจุดบั้งไฟขึ้นสูง พอตกเย็น เด็กน้อย เด็กสาว เด็กหนุ่ม วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ จนไปถึงวัยสาวเหลือน้อย ก็จะเริ่มมาตุ้มมาโฮมกันที่ลานหมู่บ้าน เสียงกลองดังขึ้น “พ่าม ตุ้ม พ่าง” เสียงพิณเสียงแคน พร้อมกันประสานเสียงให้เกิดเป็นทำนองกาพย์เซิ้ง ใครร้องเพลงเพราะก็จะมาเป็นผู้ร้องกาพย์เซิ้ง โอ้ เฮา โอ ย่าวๆกันม่วนๆ ขบวนนางรำก็จะตั้งแถวกันเพื่อฝึกซ้อมกันเพื่อจะได้พร้อมเพรียงในวันจริงที่ไกล้จะเข้ามา เสียงม่วนโฮแซวก็ร่วมขึ้น จนเกิดความประทับใจของผู้คนที่เกิดความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ใครถนัดอะไร ใครทำอะไรเป็นก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้ผลงานออกมมาดีที่สุด เมื่อมาถึงวันที่ทุกคนรอคอย เทศกาลงานประเพณีบุญบั้งไฟยโสธร ที่นี่จะจัดงานกันสามวัน ช่วงเวลาที่จัดก็คืออาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม วันที่หนึ่งวันเซิ้ง คือวันที่ที่ชาวบ้านจะออกมาเซิ้งแห่กาพย์เซิ้งไปตามหมู่บ้าน ตามตลาดเพื่อรับบริจาคเงิน เด็กน้อยก็จะชอบกันรวมตัวกันแต่เช้าเพื่อไปเซิ้งบั้งไฟ บางคนก็แต่งตัวสร้างสีสัน สร้างความสนุกเฮฮา แบกบั้งไฟบั้งน้อยๆ เดินกันไปเป็นหมู่คณะ ฉิ่ง ฉาบ กลองก็โหมกันจนเป็นเสียงดนตรี ร้องแห่กันไป “โอ้เฮาโอ พวกเซิ้งเฮาโอ” ความสนุกสนานที่เกิดขึ้น รอยยิ้มแห่งความสุข ใครที่จากบ้านมาไกล ก็มักจะกลับมารวมตัวกัน จนเกิดเป็นคณะบั้งไฟหลายคณะ พอตกเย็นเสียงเพลงก็กระหึ่มขึ้น บนถนนใจกลางเมืองยโสธรธร ถนนแจ้งสนิทก็จะเต็มไปด้วยเวทีกองเชียร์ คนทั่วทุกทิศก็จะเริ่มมาเที่ยวงาน ในวันวันนี้รถบั้งไฟโบราณก็จะมาจอดให้เชยชม เป็นรถบั้งไฟที่ยังใช้เกวียนเป็นพาหนะในการแห่บั้งไฟ และอีกฝากฝั่งหนึ่งก็จะมีรถบั้งไฟที่สวยงาม คือรถบั้งไฟเอ้จากชุมชนในเขตเทศบาลเมืองยโสธรที่มีความวิจิตรสวยงามจากช่างที่ชำนาญ ลวดลายมีความอ่อนช้อย ประกอบลวดลายจนเป็นรถบั้งไฟเอ้ขนาดใหญ่ตระการตา ตระง่านกันเป็นแถวแนวขบวน ซึ่งมักจะมีความคิดเป็นวิมานพญาแถน นอกจากนี้ยังมรเวทรอื่นๆนับสิบกว่าเวทีที่ให้เราได้เลิกเดินชมกันจนเพลินตา ในค่ำคืนนี้ก็จะมีสาวงามมาประกวดประชันชัยเพื่อชิงมงกุฎและสายสะพายใครจะได้เป็น ธิดาบั้งไฟโก้ อาหารการกินก็มีมากที่ให้เราเดินช็อป ชิม ชมกินกันจนจุเลยทีเดียว พอวันรุ่งขึ้นคือเป็นที่สำคัญอีกวันที่หนึ่งชอบมากคือ จะได้ดูสาวๆสวยๆที่จะมาเซิ้งบั้งไฟ ในวันนี้คือวันที่สองของงาน เป็นการประกวดขบวนแห่สวยงาม เราจะได้ชมขบวนของแห่ของแต่ละคุ้ม 9 คุ้มวัด และอีก 9 อำเภอที่มาในฉบับบขบวนแห่บั้งไฟโบราณ ยังรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆที่มาร่วมขบวนเพื่อสืบสานงานบุญบั้งไฟ สาวไหนสวยๆ ก็จะได้อยู่ข้างหน้า เป็นที่จับตามองของหนุ่มที่จะได้เชยชม แต่ละขบวนก็จะแตกต่างกันออกไปในท่วงทำนอง ท่ารำ กาพย์เซิ้ง ในวันนี้ชมกันได้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้าไปถึงเย็น การพรีเซ็นต์ขบวนก็มีหลายแบบ นำของดี ของเด่น ประจำจังหวัด สิ้นค้าขึ้นชื่อ มีการแสดงถึงใช้ชีวิตของชาวบ้าน การหาปูหาปลา การทำไร่ทำนา ก็จะนำมาแสดงให้ผู้ชมได้ชมดูอย่างมีความสุข เรียกเสียงปรบมือได้อย่างล้นหลาม สร้างความสนุกเฮฮากันไปจนถึงเย็นก็เริ่มเหนื่อยหมดแรงพอถึงวันรุ่งขึ้นวันสุดท้ายของเทศกาลงานบุญบั้งไฟ ยาวบ้านก็ตื่นแต่เช้าตรู่ ไปรวมตัวกันที่สวนพญาแถนสถานที่จุดบั้งไฟขึ้นสูง ทุกคณะที่จะได้โชว์ฝีไม้ลายมือที่ซุ้มซ้อมกันประดิษฐ์บั้งไฟกันมาเป็นแรมเดือน บ้านไหน คุ้มไหนที่บั้งไฟจะขึ้นสูงและอยู่บนฟ้านานกว่ากัน ซึ่งก่อนจะเริ่มแข่งขันก็จะมีการจุดบั้งไฟปฐมฤกษ์ เพื่อเป็นการถวายสักการะแด่พญาแถน ผู้ที่จะบันดาลฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล กองเชียร์ก็จะเชียร์กันสนุกสนามว่าบั้งไฟของคณะตนเองจะขึ้นสูงหรือไม่ หรือยิ่งกว่านั้นกว่าลุ้นว่าบั้งไฟจะแตกหรือไม่ ถ้าบ้านไหนบั้งไฟแตกก็จะมีการโยนลงตม (ดินโคลน) เป็นความสนุกสนามที่เกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันมา เมื่อถึงเวลาที่หมดความสนุกเฮฮา ทุกคนก็จะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ใครทำงานก็ต้องกลับไปทำงาน ใครทำไร่ทำนาก็ต้องไปดูแล ชีวิตชาวยโสธรก็จะกลับมาใช้ชีวิตกันแบบสงบสุขกัน ตามวิถีชีวิตของตัวเอง จะได้มาเฮฮากันอีกก้ปีหน้าฟ้าใหม่งานบุญบั้งไฟในครั้งต่อไปถึงจะมาพบเจอะเจอกันอีกครั้ง สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านถึงเรื่องราวที่ผมถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ซึ่งคำบางคำอาจจะไม่ได้สวยหรู หรือใช้อักษรที่อ่านแล้ววิจิตรงดงาม แต่ทุกคำที่เขียนออกมานั้นเกิดจากความรู้สึกที่ภูมิใจ สำนึกรักในบ้านเกิดของตัวเอง ที่ใช้ชีวิตเติบโตมากับวิถีชีวิตที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ให้ลูกหลานได้สืบทอดดูแลกันต่อไป ผมมีความสุขมากถ้าให้พูดถึงจังหวัดของตัวเอง นั่นคือยโสธร เมืองที่มีความสุขที่สุด และผมจะรักษาสิ่งที่ดีงามนี้สืบต่อไปไม่ให้จางหายจากไปครับ
นายอนนท์ หินสม