CSR หรือ corporate social responsibility เรียกสั้นๆ เข้าใจยากเป็นภาษาไทยว่า “บรรษัทบริบาล” และอธิบายยาวๆ แต่คนส่วนมากเข้าใจง่ายว่า คือการดำเนินกิจกรรมขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
คำว่า CSR เริ่มฮิตกันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในองค์กรเอกชนเมื่อประมาณทศวรรษที่ผ่านมา และปัจจุบันยังฮิตอยู่ กล่าวได้ว่าทุกองค์กรที่ต้องการภาพลักษณ์ดีงามและทันสมัยต้องมีกิจกรรม CSR ไม่ว่าจะนำพนักงานเก็บขยะหรือปลูกต้นไม้หรือแม้กระทั่งช่วยจับแมวไร้บ้านไปทำหมัน ฯลฯ
ฮิตจนกระทั่งปีนี้ บริษัทต่างๆ ในระดับโลกเริ่มพูดกันมากขึ้นถึงการขยับ CSR ให้ขึ้นถึงระดับ SI (social impact) หรือ ผลกระทบต่อสังคม นั่นคือ ทำกิจกรรมอะไรไปต้องมีความหมายและมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในระดับที่วัดผลได้
เขียนถึงตรงนี้ หลายท่านอาจงงว่าแล้ว CSR กับ SI มาเกี่ยวอะไรกับมิวเซียมละนี่?
คำตอบคือเกี่ยว เพราะตอนนี้มันกลายเป็นเทร็นด์ที่ลามเข้ามาถึงมิวเซียมหลายแห่งในโลกตะวันตกแล้ว – ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ในเว็บไซต์ museumnext ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดาผู้ทำงานมิวเซียมจากหลายๆ ประเทศเพื่อพัฒนาวงการมิวเซียมโลก เริ่มมีบทสนทนาและบทความที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ CSR และ SI ในมิวเซียม
จิม ริชาร์ดสัน ผู้ก่อตั้งชุมชน museumnext โดยทวิตเตอร์ของเขามีผู้ติดตามกว่าแสนคน เขียนไว้ในบทความว่า มิวเซียมควรเป็นได้มากกว่าที่จัดแสดงงานหรือโบราณวัตถุซึ่งผู้ชมเดินเข้ามาชมแล้วก็กลับออกไป คนทำงานมิวเซียมไม่คิดบ้างหรือว่างานที่พวกเขากำลังทำอยู่มีความหมายต่อชุมชนและสังคมมากกว่านั้น
ริชาร์ดสันยกตัวอย่างแคมเปญของไนกี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเรื่องความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติ ซึ่งไนกี้ทำเสื้อยืดมีคำว่า “Ineqality” ออกขายในราคา 35 เหรียญสหรัฐ และแคมเปญของสตาร์บัคส์ ที่โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานกรรมการบริหารเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานว่าภายใน 5 ปีนี้ สตาร์บัคส์จะจ้างผู้อพยพทำงาน 10,000 คนกันเลยทีเดียวเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันผู้อพยพของประธานาธิบดีทรัมป์
แม้แต่บริษัทกาแฟเคนโกของอังกฤษ ก็ยังทำ CSR ด้วยการช่วยเหลือหนุ่มๆ แก๊งสเตอร์ชาวฮอนดูรัส (เมื่อหลายปีที่ผ่านมา สาธารณรัฐฮอนดูรัสในภูมิภาคอเมริกากลาง โด่งดังมากในเรื่องอาชญากรรมรุนแรงโดยกลุ่มแก๊งต่างๆ) ให้มีอาชีพด้วยการเป็นคนงานอิสระในไร่กาแฟ
ริชาร์ดสันบอกว่าบริษัทดังๆเหล่านี้ทำ CSR อย่างนี้ ก็เพราะทุกบริษัทมีงานวิจัยชี้ชัดว่าคนยุคปัจจุบันรู้สึกผูกพันและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่ใส่ใจประเด็นทางสังคมมากกว่าแบรนด์ที่ขายแต่สินค้าตรงๆ
เมื่อ museumnext ทำวิจัยบ้าง ก็ได้คำตอบทำนองเดียวกันว่าคนหนุ่มสาวที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงไป คิดว่ามิวเซียมที่ให้ความสำคัญและมีกิจกรรมเกี่ยวกับประเด็นสังคมที่ให้ผลในระดับ SI น่าสนใจกว่ามิวเซียมแบบเดิมๆ
ดังนั้น จะรออะไร? ชายหนุ่มผู้ก่อตั้ง museumnext จึงเสนอว่ามิวเซียมแต่ละแห่งควรคิดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างจริงจังได้แล้ว โดยทำให้เป็นกิจกรรมประจำทุกเดือนกันเลยทีเดียว แล้วชักชวนผู้คนในชุมชนกับผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
ทำอย่างไรก็ได้ ให้เกิดบรรยากาศของความรู้สึกว่า “มิวเซียมคือพื้นที่ของฉัน มีเรื่องราวของฉัน ครอบครัวของฉัน และชุมชนของฉัน”
กิจกรรมที่ว่า อาจเป็นกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเสี่ยงในด้านต่างๆ ของชุมชน หรือกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยสมองเสื่อมซึ่งสังคมยังขาดความรู้ในการดูแล แล้วจัดนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมไปพร้อมกันในคราวเดียว
ริชาร์ดสันเชื่อว่าถ้ามิวเซียมทำได้อย่างนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะผู้คนที่รู้สึกว่ามิวเซียมเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขา ย่อมยินดีช่วยเหลือมิวเซียมทั้งแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์ แม้สปอนเซอร์ทั่วไปก็อาจยินดีจ่ายเงินสนับสนุนเมื่อพวกเขาเห็นว่าใครๆ ก็สนใจมิวเซียม
นับว่าแนวคิดของริชาร์ดสันน่าสนใจทีเดียว แต่จะมีใครในแวดวงมิวเซียมเมืองไทยสนใจหรือเปล่านั้น บอกไม่ได้และไม่กล้าฝัน
เครดิตภาพ: museumnext.com
คำว่า CSR เริ่มฮิตกันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในองค์กรเอกชนเมื่อประมาณทศวรรษที่ผ่านมา และปัจจุบันยังฮิตอยู่ กล่าวได้ว่าทุกองค์กรที่ต้องการภาพลักษณ์ดีงามและทันสมัยต้องมีกิจกรรม CSR ไม่ว่าจะนำพนักงานเก็บขยะหรือปลูกต้นไม้หรือแม้กระทั่งช่วยจับแมวไร้บ้านไปทำหมัน ฯลฯ
ฮิตจนกระทั่งปีนี้ บริษัทต่างๆ ในระดับโลกเริ่มพูดกันมากขึ้นถึงการขยับ CSR ให้ขึ้นถึงระดับ SI (social impact) หรือ ผลกระทบต่อสังคม นั่นคือ ทำกิจกรรมอะไรไปต้องมีความหมายและมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในระดับที่วัดผลได้
เขียนถึงตรงนี้ หลายท่านอาจงงว่าแล้ว CSR กับ SI มาเกี่ยวอะไรกับมิวเซียมละนี่?
คำตอบคือเกี่ยว เพราะตอนนี้มันกลายเป็นเทร็นด์ที่ลามเข้ามาถึงมิวเซียมหลายแห่งในโลกตะวันตกแล้ว – ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ในเว็บไซต์ museumnext ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดาผู้ทำงานมิวเซียมจากหลายๆ ประเทศเพื่อพัฒนาวงการมิวเซียมโลก เริ่มมีบทสนทนาและบทความที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ CSR และ SI ในมิวเซียม
จิม ริชาร์ดสัน ผู้ก่อตั้งชุมชน museumnext โดยทวิตเตอร์ของเขามีผู้ติดตามกว่าแสนคน เขียนไว้ในบทความว่า มิวเซียมควรเป็นได้มากกว่าที่จัดแสดงงานหรือโบราณวัตถุซึ่งผู้ชมเดินเข้ามาชมแล้วก็กลับออกไป คนทำงานมิวเซียมไม่คิดบ้างหรือว่างานที่พวกเขากำลังทำอยู่มีความหมายต่อชุมชนและสังคมมากกว่านั้น
ริชาร์ดสันยกตัวอย่างแคมเปญของไนกี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเรื่องความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติ ซึ่งไนกี้ทำเสื้อยืดมีคำว่า “Ineqality” ออกขายในราคา 35 เหรียญสหรัฐ และแคมเปญของสตาร์บัคส์ ที่โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานกรรมการบริหารเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานว่าภายใน 5 ปีนี้ สตาร์บัคส์จะจ้างผู้อพยพทำงาน 10,000 คนกันเลยทีเดียวเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันผู้อพยพของประธานาธิบดีทรัมป์
แม้แต่บริษัทกาแฟเคนโกของอังกฤษ ก็ยังทำ CSR ด้วยการช่วยเหลือหนุ่มๆ แก๊งสเตอร์ชาวฮอนดูรัส (เมื่อหลายปีที่ผ่านมา สาธารณรัฐฮอนดูรัสในภูมิภาคอเมริกากลาง โด่งดังมากในเรื่องอาชญากรรมรุนแรงโดยกลุ่มแก๊งต่างๆ) ให้มีอาชีพด้วยการเป็นคนงานอิสระในไร่กาแฟ
ริชาร์ดสันบอกว่าบริษัทดังๆเหล่านี้ทำ CSR อย่างนี้ ก็เพราะทุกบริษัทมีงานวิจัยชี้ชัดว่าคนยุคปัจจุบันรู้สึกผูกพันและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ที่ใส่ใจประเด็นทางสังคมมากกว่าแบรนด์ที่ขายแต่สินค้าตรงๆ
เมื่อ museumnext ทำวิจัยบ้าง ก็ได้คำตอบทำนองเดียวกันว่าคนหนุ่มสาวที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีลงไป คิดว่ามิวเซียมที่ให้ความสำคัญและมีกิจกรรมเกี่ยวกับประเด็นสังคมที่ให้ผลในระดับ SI น่าสนใจกว่ามิวเซียมแบบเดิมๆ
ดังนั้น จะรออะไร? ชายหนุ่มผู้ก่อตั้ง museumnext จึงเสนอว่ามิวเซียมแต่ละแห่งควรคิดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างจริงจังได้แล้ว โดยทำให้เป็นกิจกรรมประจำทุกเดือนกันเลยทีเดียว แล้วชักชวนผู้คนในชุมชนกับผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
ทำอย่างไรก็ได้ ให้เกิดบรรยากาศของความรู้สึกว่า “มิวเซียมคือพื้นที่ของฉัน มีเรื่องราวของฉัน ครอบครัวของฉัน และชุมชนของฉัน”
กิจกรรมที่ว่า อาจเป็นกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเสี่ยงในด้านต่างๆ ของชุมชน หรือกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยสมองเสื่อมซึ่งสังคมยังขาดความรู้ในการดูแล แล้วจัดนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมไปพร้อมกันในคราวเดียว
ริชาร์ดสันเชื่อว่าถ้ามิวเซียมทำได้อย่างนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะผู้คนที่รู้สึกว่ามิวเซียมเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขา ย่อมยินดีช่วยเหลือมิวเซียมทั้งแรงกายแรงใจและกำลังทรัพย์ แม้สปอนเซอร์ทั่วไปก็อาจยินดีจ่ายเงินสนับสนุนเมื่อพวกเขาเห็นว่าใครๆ ก็สนใจมิวเซียม
นับว่าแนวคิดของริชาร์ดสันน่าสนใจทีเดียว แต่จะมีใครในแวดวงมิวเซียมเมืองไทยสนใจหรือเปล่านั้น บอกไม่ได้และไม่กล้าฝัน
เครดิตภาพ: museumnext.com
วันที่สร้าง : 30 เมษายน 2561
สร้างโดย
ความคิดเห็น
แจ้งข้อความไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น (0)
โหลดเพิ่มเติม
กระทู้ยอดนิยม