“ทับหลัง” ในงานสถาปัตยกรรมประเภท “ปราสาทหิน” ศิลปะขะแมร์แต่โบราณ หมายถึงหินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางไว้ หรือ ทับไว้เหนือซุ้มประตูทางเข้าเทวสถานหรือปราสาท และมักรองรับ “หน้าบัน” หรือหินรูปสามเหลี่ยม ที่ศิลปะไทยเรียก “หน้าจั่ว” ไว้อีกชั้นหนึ่ง
ทั้ง “ทับหลัง” และ “หน้าบัน” ถือเป็นงานประติมากรรมที่ผู้สร้างปราสาท ใช้เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะประดับปราสาทให้สวยงาม และบางครั้งใช้แสดงเจตนารมณ์ว่าเทวสถานองค์นั้นๆ สร้างถวายเทพเจ้าองค์ใด หรือเทิดทูนบูชาเทพเจ้าองค์ใด ด้วยการจำหลัก หรือแกะสลักลวดลายและเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าไว้อย่างวิจิตรตา
ปราสาทหินที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยปัจจุบัน มีทับหลังและหน้าบันชิ้นงามๆ จำนวนมาก ทว่า มีหลายชิ้นที่นำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานตามจังหวัดต่างๆ แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังคงประดับไว้ ณ จุดที่ตั้งเดิมตามปราสาทหินหลายแห่ง
วันนี้ จะนำท่านไปชมทับหลังชิ้นงามตามปราสาทต่างๆ 5 แห่งในเขตแดนไทยและลาว ซึ่งการคัดสรรทับหลังชิ้นงามทั้งห้านี้ มิได้มุ่งหมายเพื่อจัดลำดับความงามหรือความสำคัญ ตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการโบราณคดีแต่อย่างใด หากเป็นการคัดเลือกจากทัศนะหรือความประทับใจของผู้เขียนเอง ซึ่งมิอาจนำไปอ้างอิงทางวิชาการได้
๑.ทับหลัง “ศิวนาฏราช” ปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ประดับอยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานของปราสาท เป็นประติมากรรมจำหลักศิลาอันอลังการตระการตายิ่งนัก และอาจจัดเป็นงานจำหลักใน “ลัทธิรังเกียจที่ว่าง” คือแกะสลักเรื่องราวและลวดลายไว้แทบทุกตารางนิ้วของทับหลัง โดยมีภาพ “ศิวนาฏราช
เหนือหน้ากาล” (หรือเกียรติมุข) เป็นจุดเด่น
โดยมุ่งหมายสำแดงฤทธานุภาพ 3 สถานะของพระศิวะ คือผู้สร้างโลก ผู้ปกปักรักษาโลก และผู้ทำลายล้างโลกยามทุกข์เข็ญ ด้วยการร่ายรำ หรือแสดงนาฏราชจนเกิดไฟประลัยกัลป์เผาผลาญโลก นอกจากนี้ ศิวนาฏราชยังถือเป็นต้นแบบ 108 ท่ารำในวิชานาฏยศาสตร์ของอินเดีย ซึ่งส่งอิทธิพลต่อวิชานาฏศิลป์ของชาวอุษาคเนย์ – อาเซียนด้วย
ทับหลังชิ้นสำคัญนี้ ยังจำหลักภาพเหล่าทวยเทพองค์สำคัญ ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ พระคเณศ พระอุมาฯลฯมาร่วมบรรเลงดนตรีปะะกอบการร่ายรำของพระศิวะครั้งนี้ด้วย จนมีคำกล่าวว่า ไปศีขรภูมิแล้วได้ชมหน้าบันภาพนี้ภาพเดียวก็คุ้มแล้ว อีกทั้งยังเป็นปราสาทเดียวในเขตแดนไทย ที่มีภาพจำหลักนางอัปสรา หรือเทพอัปสรซึ่งมีนกแก้วเกาะที่ไหล่ช่างน่ารักยิ่งนักด้วย
๒.ทับหลัง “อุมามเหศวร” เหนือหน้ากาลกำลังคายพวงอุบะ ที่ปรางค์ด้านทิศเหนือของปราสาทเมืองต่ำ อำเภอ ประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นภาพจำหลักนูนสูงที่งดงามด้วยลายพรรณพฤกษา เสริมส่งองค์พระศิวะโดดเด่นในฐานะมหาเทพประทับนั่งบนหลังโคนนทิ (พระพาหนะทรง) โดยมีพระศรีอุมาประทับนั่งบนพระเพลาพระศิวะ เรียกกันว่าภาพ “อุมามเหศวร”
นอกจากนั้น ปราสาทเมืองต่ำยังโดดเด่นด้วยซุ้มประตูทางลงสู่สระน้ำที่ล้อมรอบปราสาท ดั่งมหานทีสีทันดรล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อันควรค่าแก่การชมยิ่งนัก
3.ทับหลัง “นารายณ์บรรทมสินธุ์” หรือ “พระวิษณุอนันตสายิน” ที่ซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานปราสาทพนมรุ้งทิศตะวันออก งานประติมากรรมที่โด่งดังที่สุด จากการถูกโจรกรรมไปหลายสิบปี กว่าที่จะได้กลับคืนมาในปี 2531
เป็นภาพเล่าเรื่องพระวิษณุ หรือพระนารายณ์บรรทมอยู่เหนือพญาอนันตนาคราชในเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) จากนั้นมีดอกบัวอออกมาจากพระนาภี โดยเหนือดอกบัวนั้นมีพระพรหมประทับนั่งอยู่ ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย ว่าพระวิษณุเป็นผู้สร้างพระพรหมเพื่อมาสร้างโลก
อย่างไรก็ตาม เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ยังมีภาพ “ศิวนาฏราช” ประดับอยู่ที่หน้าบัน อันเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งว่า ปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานในลัทธิไศวนิกาย ที่เทิดทูนพระศิวะเหนือกว่าเทพใดๆ
4.พระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร แม้จะเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่ก็มีภาพทับหลังที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่ปรางค์ประธานด้านทิศเหนือ มีทับหลังเล่าเรื่อง “กฤษณาวตาร” คือพระวิษณุหรือพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิดเป็นพระกฤษณะ กำลังปราบสิงห์ที่ดุร้ายทรงพละกำลัง อันถือเป็น “เทพปกรณัม” หรือเรื่องเล่าเพื่อเทิดทูนพระวิษณุในฐานะเทพผู้ปกปกป้องคุ้มครองโลก
โดยพระกฤษณะในภาพนี้ ปรากฏในซุ้มเรือนแก้ว อันรายรอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษาที่งดงามด้วยฝีมือการแกะสลักแบบนูนสูง นอกจากนั้น เหนือขึ้นไปจากภาพพระกฤษณะ ยังมีหน้าบัน “นารายณ์บรรทมสินธุ์” ฝีมือช่างท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครอีกด้วย
5.ทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” เหนือซุ้มประตูทางเข้าทิศตะวันออกของปรางค์ประธานปราสาทวัดพู แหล่งมรดกโลก ณ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว ซึ่งสามารถเดินทางเข้าไปชมได้ไม่ยาก ด้วยการข้ามแดนไทย-ลาว ตรงด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” ที่ได้รับการยกย่องว่างามอย่างวิลิสมาหรา ด้วยศิลปะแบบ “บันทายสรี” จากฝีมือช่างซึ่งอนุมานว่าอาจเป็นช่างหลวงจากเมืองพระนคร (Angkor) ศูนย์กลางอำนาจของราชสำนักขะแมร์ยุครุ่งเรือง ส่งมารังสรรค์ภาพประดับเทวสถานที่บุรพกษัตริย์สร้างไว้
เป็นภาพจำหลักแบบนูนสูง คือแกะหรือคว้านหินทรายลงไปลึกราวสององคุลี หรือสองข้อนิ้ว กระทั่งกลีบดอกไม้ในลายพรรณพฤกษาดูราวจะพลิ้วไหวได้...ยามต้องลมพัดแรง อีกทั้งยังจำหลักลายละเอียดแทบทุกตารางนิ้วแบบลัทธิ “รังเกียจที่ว่าง” อีกเช่นกัน ที่สำคัญคือเป็นทับหลังชิ้นเอกที่ยังประดับไว้ ณ ตำแหน่งเดิม โดยได้รับการปกปักรักษาไว้อย่างดียิ่ง
*ทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” เหนือซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานปราสาทวัดพู
*สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฉายพระรูปหน้าปรางค์ประธาน ปราสาทศีขรภูมิ
*ปราสาทเมืองต่ำโดดเด่นด้วยซุ้มประตูทางลงสู่สระน้ำ ที่ล้อมรอบปราสาทดั่งมหานทีสีทันดร
*เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ยังมีภาพ “ศิวนาฏราช” ประดับอยู่ที่หน้าบัน
*พระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
ทั้ง “ทับหลัง” และ “หน้าบัน” ถือเป็นงานประติมากรรมที่ผู้สร้างปราสาท ใช้เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะประดับปราสาทให้สวยงาม และบางครั้งใช้แสดงเจตนารมณ์ว่าเทวสถานองค์นั้นๆ สร้างถวายเทพเจ้าองค์ใด หรือเทิดทูนบูชาเทพเจ้าองค์ใด ด้วยการจำหลัก หรือแกะสลักลวดลายและเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าไว้อย่างวิจิตรตา
ปราสาทหินที่อยู่ในเขตแดนประเทศไทยปัจจุบัน มีทับหลังและหน้าบันชิ้นงามๆ จำนวนมาก ทว่า มีหลายชิ้นที่นำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานตามจังหวัดต่างๆ แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังคงประดับไว้ ณ จุดที่ตั้งเดิมตามปราสาทหินหลายแห่ง
วันนี้ จะนำท่านไปชมทับหลังชิ้นงามตามปราสาทต่างๆ 5 แห่งในเขตแดนไทยและลาว ซึ่งการคัดสรรทับหลังชิ้นงามทั้งห้านี้ มิได้มุ่งหมายเพื่อจัดลำดับความงามหรือความสำคัญ ตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการโบราณคดีแต่อย่างใด หากเป็นการคัดเลือกจากทัศนะหรือความประทับใจของผู้เขียนเอง ซึ่งมิอาจนำไปอ้างอิงทางวิชาการได้
๑.ทับหลัง “ศิวนาฏราช” ปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ประดับอยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานของปราสาท เป็นประติมากรรมจำหลักศิลาอันอลังการตระการตายิ่งนัก และอาจจัดเป็นงานจำหลักใน “ลัทธิรังเกียจที่ว่าง” คือแกะสลักเรื่องราวและลวดลายไว้แทบทุกตารางนิ้วของทับหลัง โดยมีภาพ “ศิวนาฏราช
เหนือหน้ากาล” (หรือเกียรติมุข) เป็นจุดเด่น
โดยมุ่งหมายสำแดงฤทธานุภาพ 3 สถานะของพระศิวะ คือผู้สร้างโลก ผู้ปกปักรักษาโลก และผู้ทำลายล้างโลกยามทุกข์เข็ญ ด้วยการร่ายรำ หรือแสดงนาฏราชจนเกิดไฟประลัยกัลป์เผาผลาญโลก นอกจากนี้ ศิวนาฏราชยังถือเป็นต้นแบบ 108 ท่ารำในวิชานาฏยศาสตร์ของอินเดีย ซึ่งส่งอิทธิพลต่อวิชานาฏศิลป์ของชาวอุษาคเนย์ – อาเซียนด้วย
ทับหลังชิ้นสำคัญนี้ ยังจำหลักภาพเหล่าทวยเทพองค์สำคัญ ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ พระคเณศ พระอุมาฯลฯมาร่วมบรรเลงดนตรีปะะกอบการร่ายรำของพระศิวะครั้งนี้ด้วย จนมีคำกล่าวว่า ไปศีขรภูมิแล้วได้ชมหน้าบันภาพนี้ภาพเดียวก็คุ้มแล้ว อีกทั้งยังเป็นปราสาทเดียวในเขตแดนไทย ที่มีภาพจำหลักนางอัปสรา หรือเทพอัปสรซึ่งมีนกแก้วเกาะที่ไหล่ช่างน่ารักยิ่งนักด้วย
๒.ทับหลัง “อุมามเหศวร” เหนือหน้ากาลกำลังคายพวงอุบะ ที่ปรางค์ด้านทิศเหนือของปราสาทเมืองต่ำ อำเภอ ประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นภาพจำหลักนูนสูงที่งดงามด้วยลายพรรณพฤกษา เสริมส่งองค์พระศิวะโดดเด่นในฐานะมหาเทพประทับนั่งบนหลังโคนนทิ (พระพาหนะทรง) โดยมีพระศรีอุมาประทับนั่งบนพระเพลาพระศิวะ เรียกกันว่าภาพ “อุมามเหศวร”
นอกจากนั้น ปราสาทเมืองต่ำยังโดดเด่นด้วยซุ้มประตูทางลงสู่สระน้ำที่ล้อมรอบปราสาท ดั่งมหานทีสีทันดรล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อันควรค่าแก่การชมยิ่งนัก
3.ทับหลัง “นารายณ์บรรทมสินธุ์” หรือ “พระวิษณุอนันตสายิน” ที่ซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานปราสาทพนมรุ้งทิศตะวันออก งานประติมากรรมที่โด่งดังที่สุด จากการถูกโจรกรรมไปหลายสิบปี กว่าที่จะได้กลับคืนมาในปี 2531
เป็นภาพเล่าเรื่องพระวิษณุ หรือพระนารายณ์บรรทมอยู่เหนือพญาอนันตนาคราชในเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) จากนั้นมีดอกบัวอออกมาจากพระนาภี โดยเหนือดอกบัวนั้นมีพระพรหมประทับนั่งอยู่ ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย ว่าพระวิษณุเป็นผู้สร้างพระพรหมเพื่อมาสร้างโลก
อย่างไรก็ตาม เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ยังมีภาพ “ศิวนาฏราช” ประดับอยู่ที่หน้าบัน อันเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งว่า ปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานในลัทธิไศวนิกาย ที่เทิดทูนพระศิวะเหนือกว่าเทพใดๆ
4.พระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร แม้จะเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่ก็มีภาพทับหลังที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่ปรางค์ประธานด้านทิศเหนือ มีทับหลังเล่าเรื่อง “กฤษณาวตาร” คือพระวิษณุหรือพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิดเป็นพระกฤษณะ กำลังปราบสิงห์ที่ดุร้ายทรงพละกำลัง อันถือเป็น “เทพปกรณัม” หรือเรื่องเล่าเพื่อเทิดทูนพระวิษณุในฐานะเทพผู้ปกปกป้องคุ้มครองโลก
โดยพระกฤษณะในภาพนี้ ปรากฏในซุ้มเรือนแก้ว อันรายรอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษาที่งดงามด้วยฝีมือการแกะสลักแบบนูนสูง นอกจากนั้น เหนือขึ้นไปจากภาพพระกฤษณะ ยังมีหน้าบัน “นารายณ์บรรทมสินธุ์” ฝีมือช่างท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครอีกด้วย
5.ทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” เหนือซุ้มประตูทางเข้าทิศตะวันออกของปรางค์ประธานปราสาทวัดพู แหล่งมรดกโลก ณ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว ซึ่งสามารถเดินทางเข้าไปชมได้ไม่ยาก ด้วยการข้ามแดนไทย-ลาว ตรงด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” ที่ได้รับการยกย่องว่างามอย่างวิลิสมาหรา ด้วยศิลปะแบบ “บันทายสรี” จากฝีมือช่างซึ่งอนุมานว่าอาจเป็นช่างหลวงจากเมืองพระนคร (Angkor) ศูนย์กลางอำนาจของราชสำนักขะแมร์ยุครุ่งเรือง ส่งมารังสรรค์ภาพประดับเทวสถานที่บุรพกษัตริย์สร้างไว้
เป็นภาพจำหลักแบบนูนสูง คือแกะหรือคว้านหินทรายลงไปลึกราวสององคุลี หรือสองข้อนิ้ว กระทั่งกลีบดอกไม้ในลายพรรณพฤกษาดูราวจะพลิ้วไหวได้...ยามต้องลมพัดแรง อีกทั้งยังจำหลักลายละเอียดแทบทุกตารางนิ้วแบบลัทธิ “รังเกียจที่ว่าง” อีกเช่นกัน ที่สำคัญคือเป็นทับหลังชิ้นเอกที่ยังประดับไว้ ณ ตำแหน่งเดิม โดยได้รับการปกปักรักษาไว้อย่างดียิ่ง
*ทับหลัง “พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ” เหนือซุ้มประตูทางเข้าปรางค์ประธานปราสาทวัดพู
*สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฉายพระรูปหน้าปรางค์ประธาน ปราสาทศีขรภูมิ
*ปราสาทเมืองต่ำโดดเด่นด้วยซุ้มประตูทางลงสู่สระน้ำ ที่ล้อมรอบปราสาทดั่งมหานทีสีทันดร
*เหนือทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ยังมีภาพ “ศิวนาฏราช” ประดับอยู่ที่หน้าบัน
*พระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
วันที่สร้าง : 15 มีนาคม 2560
สร้างโดย
ความคิดเห็น
แจ้งข้อความไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น (0)
โหลดเพิ่มเติม