ชุมชนริมฝั่งน้ำจันทบุรี (ที่เรียกกันอีกอย่างว่า แม่น้ำจันทบูร) ตามประวัติศาสตร์ฉบับทางการ ของหน่วยงานราชการต่างๆ ว่าไว้ เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นเมื่อหลัง พ.ศ. 2200 เท่านั้น
เพราะแต่เดิมเมืองจันทบุรีตั้งอยู่ที่หน้าเขาสระบาป มีอายุเก่าแก่นับพันปี ดังจะเห็นได้ว่าในพื้นที่บริเวณนั้น มีร่องรอยของเมืองและกำแพงเมือง ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณอยู่คือ เมืองเพนียด และอีกสารพัดร่องรอยสิ่งปลูกสร้าง และโบราณวัตถุของวัฒนธรรมขอมโบราณ
และเมื่อเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณ เมื่อถึงช่วงที่อารยธรรมขอมร่วงโรยลง ในช่วงหลัง พ.ศ. 1800 ประวัติศาสตร์ฉบับหลวงก็ย่อมมักจะอธิบายว่า ดินแดนที่อยู่ในปริมณฑลอำนาจของขอมก็จะร่วงโรยตามไปด้วย
ชุมชนที่บริเวณเขาสระบาปก็จึงต้องอพยพตัวเองมาสร้างบ้านเมืองใหม่ อยู่ที่บ้านหัววัง ตำบลพุงทลาย ทางฟากตะวันออก ใกล้ๆ แม่น้ำจันทบุรีนี่เอง ก่อนที่สุดท้ายใน พ.ศ. 2200 จะค่อยข้ามแม่น้ำกันมาทางฟากตะวันออก กลายเป็นชุมชนย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า ประวัติเมืองจันทบุรีในเอกสารราชการจะบอกอย่างนั้นมาแต่ดั้งเดิม แถมยังผลิตซ้ำอยู่อย่างนี้อีกเรื่อยๆ มาจนทุกวันนี้ โดยไม่แคร์สื่อเลยว่า ตำบล ‘พุงทลาย’ จะเปลี่ยนชื่อเป็นตำบล ‘จันทนิมิต’ ไปนานแล้ว จนทำให้นักเรียนนักศึกษาหาตำบลที่ว่าไม่พบ เวลาที่จะทำความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์จันทบุรีเอาง่ายๆ
และเอาเข้าจริงแล้ว เขตพื้นที่บ้านหัววัง ตำบล ‘จันทนิมิต’ หรือพุงทลายแต่ดั้งเดิมนั้น ก็ห่างจากย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ไปเพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
มันจึงเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่เมื่อคนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ที่บ้านหัววังแล้ว ในช่วงตลอดระยะเวลา 400 ปี นับจาก พ.ศ. 1800 มาจนถึง พ.ศ. 2200 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการว่า พื้นที่ทางฟากตะวันตกริมฝั่งแม่น้ำเพิ่งเป็นบ้านเป็นเมืองเอาตอนนั้น จะไม่เคยมีใครคิดจะข้ามแม่น้ำจันทบุรีมาทางฟากตะวันตก ตรงที่เป็นย่านเมืองเก่าจันทบุรีในปัจจุบันเลย
แถมในเขตพื้นที่ชุมชนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำยังมีการค้นพบ ชิ้นส่วนของทับหลังในวัฒนธรรมขอมโบราณ ที่มีอายุอยู่ในช่วงหลัง พ.ศ. 1500 ลงมา (อย่างที่มีศัพท์เทคนิคเรียกว่า ทับหลังแบบบาปวน) และบรรดาข้าวของในอารยธรรมขอมครั้งกระโน้นเก็บรักษาไว้ที่วัดโบสถ์เมือง แถวๆ ชุมชนริมฝั่งน้ำที่ว่านั่นอีกต่างหาก
ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครคิดแบกเอาชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมขอมโบราณพวกนี้ มาจากที่เมืองเพนียด แถวๆ เขาสระบาปที่ห่างออกไปแค่ประมาณ 6 กิโลเมตร หรือเปล่า? แต่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าไหมที่พื้นที่บริเวณสองฝั่งน้ำจันทบุรี ไม่ว่าจะเขตย่านเมืองเก่าในปัจจุบัน หรือเขตบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต จะเป็นเมืองในขอบข่ายปริมณฑลของเมืองเพนียดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ติดเส้นทางคมนาคมสำคัญในการออกสู่ทะเลอ่าวไทยคือ แม่น้ำจันทบุรี?
สมมติว่าข้อสมมติฐานของผมถูก ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำไม่ว่าจะซีกตะวันตกที่เรียกกันว่าเป็นย่านเก่าในปัจจุบัน หรือฟากตะวันออก แถบบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต ก็เก่าแก่มาตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจ เมื่อพันกว่าปีก่อนนั่นเอง
ทั้งสองฟากข้างของแม่น้ำจันทบุรีในอดีต ก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง (คือบริเวณใกล้ๆ กองบังคับการกองทัพเรือ หรือพระราชวังเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีในปัจจุบัน) ที่มีชุมชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำมาแต่เดิมแล้ว
ไม่ใช่อย่างที่ประวัติศาสตร์ฉบับที่หน่วยราชการใช้ และบอกกับผู้คนทั้งที่จันทบุรี และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเสียหน่อย
แต่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการจะเป็นเช่นไรก็ช่างมันเถอะนะครับ ในเมื่อชุมชนที่ย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีมีความเข้มแข็งพอ แถมยังเห็นค่าถึงประวัติศาสตร์รากเหง้าของตนเองอีกต่างหาก
ในปัจจุบันนี้ถ้าใครผ่านไปยังย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีที่ว่า นอกเหนือจากร้านขนม ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านค้า หรือแม้กระทั่งร้านอาหารชิคๆ สไตล์สโลว์ไลฟ์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าทั่วทั้งชุมชนมีแผ่นป้ายแสดงข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน ทั้งภาพของชุมชนโดยรวม ความสำคัญของสถานที่ ตึกอาคารแต่ละแห่ง รวมไปถึงแผนที่แผนทาง ที่สำคัญคือไม่เชย และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยได้เป็นอย่างดีด้วย
ผมคิดว่าลักษณะอย่างนี้แหละครับที่ฝรั่งเรียกว่า ‘มิวเซียม’ (museum) เพราะตามรากศัพท์ แล้ว 'museum’ มาจากภาษากรีกโบราณแปลว่า ‘บัลลังก์ของเทพมิวส์’ (Muse) ซึ่งเป็นคณะเทพธิดาที่ทั้งดลบันดาลและอำนวยพรให้เกิดทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หรือ “ความรู้” ต่างๆ
แถมยังมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อ พิธากอรัส (Pythagoras มีชีวิตอยู่เมื่อราว570-495 ปีก่อนคริสต์กาล) นักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลกชาวกรีก ได้เดินทางเข้าไปถึงเมืองโครโตเน (Crotone ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี) คำแนะนำแรกที่ท่านให้แก่ชาวเมืองก็คือ ให้สร้างสถานบูชาเทพมิวส์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และให้ชาวเมืองกลมเกลียวกัน
ดังนั้น โดยนัยยะสำคัญแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงหมายถึงสถานที่ที่มีการจัดการความรู้มากกว่าจะหมายถึงอย่างอื่น
และอันที่จริงแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงไม่จำเป็นต้องมีของเก่าๆ หรือของมีค่าในแง่ของราคาค่างวดมาตั้งโชว์ แต่แสดงให้เห็นถึง ‘คุณค่า’ ของความรู้หรืออะไรที่กำลังจัดการนั่นแหละวิเศษที่สุดแล้ว
มีคำของนักปราชญ์ที่ว่า ‘ความรู้ไม่มีพรมแดน’ การจัดการความรู้ก็ยิ่งไม่ควรมีพรมแดน ‘มิวเซียม’ จึงไม่ต้องมี ‘กำแพง’ มาเป็นขอบเขตปิดกั้นพรมแดนของตัวเองก็ได้
ใช้ความรู้ และปริมณฑลทางสังคมวัฒนธรรมของคนเองนั่นแหละ เป็นพรมแดนที่ไม่ต้องถูกสิ่งปลูกสร้างอะไรมาปิดกั้น อย่างที่ย่านเก่าชุมชนริมแม่น้ำจันทบุรีทำนั่นแหละครับ ดีงามมากๆ แล้ว เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ ชุมชนแห่งนี้ก็เปรียบได้กับ ‘มิวเซียมที่ไม่มีกำแพง’
ที่มาภาพประกอบ: http://www.newszociety.com
เพราะแต่เดิมเมืองจันทบุรีตั้งอยู่ที่หน้าเขาสระบาป มีอายุเก่าแก่นับพันปี ดังจะเห็นได้ว่าในพื้นที่บริเวณนั้น มีร่องรอยของเมืองและกำแพงเมือง ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณอยู่คือ เมืองเพนียด และอีกสารพัดร่องรอยสิ่งปลูกสร้าง และโบราณวัตถุของวัฒนธรรมขอมโบราณ
และเมื่อเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณ เมื่อถึงช่วงที่อารยธรรมขอมร่วงโรยลง ในช่วงหลัง พ.ศ. 1800 ประวัติศาสตร์ฉบับหลวงก็ย่อมมักจะอธิบายว่า ดินแดนที่อยู่ในปริมณฑลอำนาจของขอมก็จะร่วงโรยตามไปด้วย
ชุมชนที่บริเวณเขาสระบาปก็จึงต้องอพยพตัวเองมาสร้างบ้านเมืองใหม่ อยู่ที่บ้านหัววัง ตำบลพุงทลาย ทางฟากตะวันออก ใกล้ๆ แม่น้ำจันทบุรีนี่เอง ก่อนที่สุดท้ายใน พ.ศ. 2200 จะค่อยข้ามแม่น้ำกันมาทางฟากตะวันออก กลายเป็นชุมชนย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า ประวัติเมืองจันทบุรีในเอกสารราชการจะบอกอย่างนั้นมาแต่ดั้งเดิม แถมยังผลิตซ้ำอยู่อย่างนี้อีกเรื่อยๆ มาจนทุกวันนี้ โดยไม่แคร์สื่อเลยว่า ตำบล ‘พุงทลาย’ จะเปลี่ยนชื่อเป็นตำบล ‘จันทนิมิต’ ไปนานแล้ว จนทำให้นักเรียนนักศึกษาหาตำบลที่ว่าไม่พบ เวลาที่จะทำความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์จันทบุรีเอาง่ายๆ
และเอาเข้าจริงแล้ว เขตพื้นที่บ้านหัววัง ตำบล ‘จันทนิมิต’ หรือพุงทลายแต่ดั้งเดิมนั้น ก็ห่างจากย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ไปเพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
มันจึงเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่เมื่อคนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ที่บ้านหัววังแล้ว ในช่วงตลอดระยะเวลา 400 ปี นับจาก พ.ศ. 1800 มาจนถึง พ.ศ. 2200 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการว่า พื้นที่ทางฟากตะวันตกริมฝั่งแม่น้ำเพิ่งเป็นบ้านเป็นเมืองเอาตอนนั้น จะไม่เคยมีใครคิดจะข้ามแม่น้ำจันทบุรีมาทางฟากตะวันตก ตรงที่เป็นย่านเมืองเก่าจันทบุรีในปัจจุบันเลย
แถมในเขตพื้นที่ชุมชนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำยังมีการค้นพบ ชิ้นส่วนของทับหลังในวัฒนธรรมขอมโบราณ ที่มีอายุอยู่ในช่วงหลัง พ.ศ. 1500 ลงมา (อย่างที่มีศัพท์เทคนิคเรียกว่า ทับหลังแบบบาปวน) และบรรดาข้าวของในอารยธรรมขอมครั้งกระโน้นเก็บรักษาไว้ที่วัดโบสถ์เมือง แถวๆ ชุมชนริมฝั่งน้ำที่ว่านั่นอีกต่างหาก
ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครคิดแบกเอาชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมขอมโบราณพวกนี้ มาจากที่เมืองเพนียด แถวๆ เขาสระบาปที่ห่างออกไปแค่ประมาณ 6 กิโลเมตร หรือเปล่า? แต่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าไหมที่พื้นที่บริเวณสองฝั่งน้ำจันทบุรี ไม่ว่าจะเขตย่านเมืองเก่าในปัจจุบัน หรือเขตบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต จะเป็นเมืองในขอบข่ายปริมณฑลของเมืองเพนียดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ติดเส้นทางคมนาคมสำคัญในการออกสู่ทะเลอ่าวไทยคือ แม่น้ำจันทบุรี?
สมมติว่าข้อสมมติฐานของผมถูก ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำไม่ว่าจะซีกตะวันตกที่เรียกกันว่าเป็นย่านเก่าในปัจจุบัน หรือฟากตะวันออก แถบบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต ก็เก่าแก่มาตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจ เมื่อพันกว่าปีก่อนนั่นเอง
ทั้งสองฟากข้างของแม่น้ำจันทบุรีในอดีต ก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง (คือบริเวณใกล้ๆ กองบังคับการกองทัพเรือ หรือพระราชวังเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีในปัจจุบัน) ที่มีชุมชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำมาแต่เดิมแล้ว
ไม่ใช่อย่างที่ประวัติศาสตร์ฉบับที่หน่วยราชการใช้ และบอกกับผู้คนทั้งที่จันทบุรี และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเสียหน่อย
แต่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการจะเป็นเช่นไรก็ช่างมันเถอะนะครับ ในเมื่อชุมชนที่ย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีมีความเข้มแข็งพอ แถมยังเห็นค่าถึงประวัติศาสตร์รากเหง้าของตนเองอีกต่างหาก
ในปัจจุบันนี้ถ้าใครผ่านไปยังย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีที่ว่า นอกเหนือจากร้านขนม ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านค้า หรือแม้กระทั่งร้านอาหารชิคๆ สไตล์สโลว์ไลฟ์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าทั่วทั้งชุมชนมีแผ่นป้ายแสดงข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน ทั้งภาพของชุมชนโดยรวม ความสำคัญของสถานที่ ตึกอาคารแต่ละแห่ง รวมไปถึงแผนที่แผนทาง ที่สำคัญคือไม่เชย และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยได้เป็นอย่างดีด้วย
ผมคิดว่าลักษณะอย่างนี้แหละครับที่ฝรั่งเรียกว่า ‘มิวเซียม’ (museum) เพราะตามรากศัพท์ แล้ว 'museum’ มาจากภาษากรีกโบราณแปลว่า ‘บัลลังก์ของเทพมิวส์’ (Muse) ซึ่งเป็นคณะเทพธิดาที่ทั้งดลบันดาลและอำนวยพรให้เกิดทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หรือ “ความรู้” ต่างๆ
แถมยังมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อ พิธากอรัส (Pythagoras มีชีวิตอยู่เมื่อราว570-495 ปีก่อนคริสต์กาล) นักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลกชาวกรีก ได้เดินทางเข้าไปถึงเมืองโครโตเน (Crotone ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี) คำแนะนำแรกที่ท่านให้แก่ชาวเมืองก็คือ ให้สร้างสถานบูชาเทพมิวส์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และให้ชาวเมืองกลมเกลียวกัน
ดังนั้น โดยนัยยะสำคัญแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงหมายถึงสถานที่ที่มีการจัดการความรู้มากกว่าจะหมายถึงอย่างอื่น
และอันที่จริงแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงไม่จำเป็นต้องมีของเก่าๆ หรือของมีค่าในแง่ของราคาค่างวดมาตั้งโชว์ แต่แสดงให้เห็นถึง ‘คุณค่า’ ของความรู้หรืออะไรที่กำลังจัดการนั่นแหละวิเศษที่สุดแล้ว
มีคำของนักปราชญ์ที่ว่า ‘ความรู้ไม่มีพรมแดน’ การจัดการความรู้ก็ยิ่งไม่ควรมีพรมแดน ‘มิวเซียม’ จึงไม่ต้องมี ‘กำแพง’ มาเป็นขอบเขตปิดกั้นพรมแดนของตัวเองก็ได้
ใช้ความรู้ และปริมณฑลทางสังคมวัฒนธรรมของคนเองนั่นแหละ เป็นพรมแดนที่ไม่ต้องถูกสิ่งปลูกสร้างอะไรมาปิดกั้น อย่างที่ย่านเก่าชุมชนริมแม่น้ำจันทบุรีทำนั่นแหละครับ ดีงามมากๆ แล้ว เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ ชุมชนแห่งนี้ก็เปรียบได้กับ ‘มิวเซียมที่ไม่มีกำแพง’
ที่มาภาพประกอบ: http://www.newszociety.com
วันที่สร้าง : 30 เมษายน 2561
สร้างโดย
ความคิดเห็น
แจ้งข้อความไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น (0)
โหลดเพิ่มเติม
กระทู้ยอดนิยม