คำแนะนำการใช้งาน
ขยายขนาดตัวอักษร
เพิ่มระยะห่างตัวอักษร
เพิ่มขนาดลูกศรชี้
ตำแหน่ง
เส้นช่วยในการอ่าน
เน้นการเชื่อมโยง
ปรับชุดสี
เปิดการใช้งาน
ปิดการใช้งาน
คำแนะนำการใช้งาน
เริ่มต้นใช้งาน
Text Size

การขยายขนาดตัวอักษร

สามารถเลือกปรับขนาดตัวอักษรได้ 3 ระดับ คือ 20% 30% และ 40% จากขนาดมาตรฐาน

Text Spacing

การเพิ่มระยะห่างตัวอักษร

การปรับระยะห่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างบรรทัด สามารถปรับได้ 3 ระดับ เพื่อให้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

Large Cursor

การเพิ่มขนาดลูกศรชี้ตำแหน่ง

ขยายขนาดของลูกศรชี้ตำแหน่ง (Cursor) ให้ใหญ่ขึ้นถึง 400%


Reading Guide

เส้นช่วยในการอ่าน

จะมีเส้นปรากฏขึ้น พร้อมกับการเลื่อนลูกศรชี้ตำแหน่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถโฟกัสข้อความที่ต้องการอ่านได้สะดวกขึ้น

Highlight Links

เน้นการเชื่อมโยง

ช่วยเน้นและแยกส่วนของลิงค์หรือปุ่มต่างๆ ออกจาก เนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถมองเห็นปุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Change Color

เลือกปรับชุดสี

สามารถเลือกปรับชุดสีของเว็บไซต์ได้ 4 แบบตัวอักษรและปุ่มต่างๆ มีสีเข้มคมชัด มองเห็นได้ชัดเจน

เว็บบอร์ด

  1. หน้าแรก
  2.    >   มิวเซียมไทยแลนด์
  3.    >   เว็บบอร์ด
  4.    >   มิวเซียม ‘ชุมชน’ คนจันทบุรี ที่ไม่มีกำแพง

มิวเซียม ‘ชุมชน’ คนจันทบุรี ที่ไม่มีกำแพง

16 มิถุนายน 2560

ชื่นชอบ 11

1,404 ผู้เข้าชม

3

แบ่งปัน
ชุมชนริมฝั่งน้ำจันทบุรี (ที่เรียกกันอีกอย่างว่า แม่น้ำจันทบูร) ตามประวัติศาสตร์ฉบับทางการ ของหน่วยงานราชการต่างๆ ว่าไว้ เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นเมื่อหลัง พ.ศ. 2200 เท่านั้น 

เพราะแต่เดิมเมืองจันทบุรีตั้งอยู่ที่หน้าเขาสระบาป มีอายุเก่าแก่นับพันปี ดังจะเห็นได้ว่าในพื้นที่บริเวณนั้น มีร่องรอยของเมืองและกำแพงเมือง ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณอยู่คือ เมืองเพนียด และอีกสารพัดร่องรอยสิ่งปลูกสร้าง และโบราณวัตถุของวัฒนธรรมขอมโบราณ 

และเมื่อเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมขอมโบราณ เมื่อถึงช่วงที่อารยธรรมขอมร่วงโรยลง ในช่วงหลัง พ.ศ. 1800 ประวัติศาสตร์ฉบับหลวงก็ย่อมมักจะอธิบายว่า ดินแดนที่อยู่ในปริมณฑลอำนาจของขอมก็จะร่วงโรยตามไปด้วย 
ชุมชนที่บริเวณเขาสระบาปก็จึงต้องอพยพตัวเองมาสร้างบ้านเมืองใหม่ อยู่ที่บ้านหัววัง ตำบลพุงทลาย ทางฟากตะวันออก ใกล้ๆ แม่น้ำจันทบุรีนี่เอง ก่อนที่สุดท้ายใน พ.ศ. 2200 จะค่อยข้ามแม่น้ำกันมาทางฟากตะวันออก กลายเป็นชุมชนย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ในปัจจุบัน
 
ถึงแม้ว่า ประวัติเมืองจันทบุรีในเอกสารราชการจะบอกอย่างนั้นมาแต่ดั้งเดิม แถมยังผลิตซ้ำอยู่อย่างนี้อีกเรื่อยๆ มาจนทุกวันนี้ โดยไม่แคร์สื่อเลยว่า ตำบล ‘พุงทลาย’ จะเปลี่ยนชื่อเป็นตำบล ‘จันทนิมิต’ ไปนานแล้ว จนทำให้นักเรียนนักศึกษาหาตำบลที่ว่าไม่พบ เวลาที่จะทำความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์จันทบุรีเอาง่ายๆ 

และเอาเข้าจริงแล้ว เขตพื้นที่บ้านหัววัง ตำบล ‘จันทนิมิต’ หรือพุงทลายแต่ดั้งเดิมนั้น ก็ห่างจากย่านเมืองเก่า ริมฝั่งน้ำจันทบุรี ไปเพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร เท่านั้นเอง 

มันจึงเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่เมื่อคนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ที่บ้านหัววังแล้ว ในช่วงตลอดระยะเวลา 400 ปี นับจาก พ.ศ. 1800 มาจนถึง พ.ศ.​ 2200 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการว่า พื้นที่ทางฟากตะวันตกริมฝั่งแม่น้ำเพิ่งเป็นบ้านเป็นเมืองเอาตอนนั้น จะไม่เคยมีใครคิดจะข้ามแม่น้ำจันทบุรีมาทางฟากตะวันตก ตรงที่เป็นย่านเมืองเก่าจันทบุรีในปัจจุบันเลย

แถมในเขตพื้นที่ชุมชนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำยังมีการค้นพบ ชิ้นส่วนของทับหลังในวัฒนธรรมขอมโบราณ​ ที่มีอายุอยู่ในช่วงหลัง พ.ศ. 1500 ลงมา (อย่างที่มีศัพท์เทคนิคเรียกว่า ทับหลังแบบบาปวน) และบรรดาข้าวของในอารยธรรมขอมครั้งกระโน้นเก็บรักษาไว้ที่วัดโบสถ์เมือง แถวๆ ชุมชนริมฝั่งน้ำที่ว่านั่นอีกต่างหาก

ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครคิดแบกเอาชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมขอมโบราณพวกนี้ มาจากที่เมืองเพนียด แถวๆ เขาสระบาปที่ห่างออกไปแค่ประมาณ 6 กิโลเมตร หรือเปล่า? แต่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่าไหมที่พื้นที่บริเวณสองฝั่งน้ำจันทบุรี ไม่ว่าจะเขตย่านเมืองเก่าในปัจจุบัน หรือเขตบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต จะเป็นเมืองในขอบข่ายปริมณฑลของเมืองเพนียดมาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ติดเส้นทางคมนาคมสำคัญในการออกสู่ทะเลอ่าวไทยคือ แม่น้ำจันทบุรี?

สมมติว่าข้อสมมติฐานของผมถูก ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำไม่ว่าจะซีกตะวันตกที่เรียกกันว่าเป็นย่านเก่าในปัจจุบัน หรือฟากตะวันออก แถบบ้านหัววัง ตำบลจันทนิมิต ก็เก่าแก่มาตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจ เมื่อพันกว่าปีก่อนนั่นเอง

ทั้งสองฟากข้างของแม่น้ำจันทบุรีในอดีต ก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบปากคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง (คือบริเวณใกล้ๆ กองบังคับการกองทัพเรือ หรือพระราชวังเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีในปัจจุบัน) ที่มีชุมชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำมาแต่เดิมแล้ว 

ไม่ใช่อย่างที่ประวัติศาสตร์ฉบับที่หน่วยราชการใช้ และบอกกับผู้คนทั้งที่จันทบุรี และที่อื่นๆ ทั่วประเทศเสียหน่อย

แต่ประวัติศาสตร์ฉบับทางการจะเป็นเช่นไรก็ช่างมันเถอะนะครับ ในเมื่อชุมชนที่ย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีมีความเข้มแข็งพอ แถมยังเห็นค่าถึงประวัติศาสตร์รากเหง้าของตนเองอีกต่างหาก

ในปัจจุบันนี้ถ้าใครผ่านไปยังย่านเก่าริมฝั่งน้ำจันทบุรีที่ว่า นอกเหนือจากร้านขนม ร้านกาแฟ โรงแรม ร้านค้า หรือแม้กระทั่งร้านอาหารชิคๆ สไตล์สโลว์ไลฟ์แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าทั่วทั้งชุมชนมีแผ่นป้ายแสดงข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน ทั้งภาพของชุมชนโดยรวม ความสำคัญของสถานที่ ตึกอาคารแต่ละแห่ง รวมไปถึงแผนที่แผนทาง ที่สำคัญคือไม่เชย และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยได้เป็นอย่างดีด้วย

ผมคิดว่าลักษณะอย่างนี้แหละครับที่ฝรั่งเรียกว่า ‘มิวเซียม’ (museum) เพราะตามรากศัพท์  แล้ว 'museum’ มาจากภาษากรีกโบราณแปลว่า ‘บัลลังก์ของเทพมิวส์’ (Muse) ซึ่งเป็นคณะเทพธิดาที่ทั้งดลบันดาลและอำนวยพรให้เกิดทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” หรือ “ความรู้” ต่างๆ 

แถมยังมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อ พิธากอรัส (Pythagoras มีชีวิตอยู่เมื่อราว570-495 ปีก่อนคริสต์กาล) นักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลกชาวกรีก ได้เดินทางเข้าไปถึงเมืองโครโตเน (Crotone ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี) คำแนะนำแรกที่ท่านให้แก่ชาวเมืองก็คือ ให้สร้างสถานบูชาเทพมิวส์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และให้ชาวเมืองกลมเกลียวกัน

ดังนั้น โดยนัยยะสำคัญแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงหมายถึงสถานที่ที่มีการจัดการความรู้มากกว่าจะหมายถึงอย่างอื่น

และอันที่จริงแล้ว ‘มิวเซียม’ จึงไม่จำเป็นต้องมีของเก่าๆ หรือของมีค่าในแง่ของราคาค่างวดมาตั้งโชว์ แต่แสดงให้เห็นถึง ‘คุณค่า’ ของความรู้หรืออะไรที่กำลังจัดการนั่นแหละวิเศษที่สุดแล้ว

มีคำของนักปราชญ์ที่ว่า ‘ความรู้ไม่มีพรมแดน’ การจัดการความรู้ก็ยิ่งไม่ควรมีพรมแดน ‘มิวเซียม’ จึงไม่ต้องมี ‘กำแพง’ มาเป็นขอบเขตปิดกั้นพรมแดนของตัวเองก็ได้

ใช้ความรู้ และปริมณฑลทางสังคมวัฒนธรรมของคนเองนั่นแหละ เป็นพรมแดนที่ไม่ต้องถูกสิ่งปลูกสร้างอะไรมาปิดกั้น อย่างที่ย่านเก่าชุมชนริมแม่น้ำจันทบุรีทำนั่นแหละครับ ดีงามมากๆ แล้ว เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ ชุมชนแห่งนี้ก็เปรียบได้กับ ‘มิวเซียมที่ไม่มีกำแพง’

ที่มาภาพประกอบ: http://www.newszociety.com

วันที่สร้าง : 30 เมษายน 2561

3

แบ่งปัน
สร้างโดย